ชวนประกวดนวัตกรรมการศึกษาชิงถ้วยพระเทพในงานEDUCA2009
นายมนตรี แย้มกสิกร คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการประชุมนานาชาติด้านกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้ EDUCA 2009 กล่าวว่า คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมกับที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ 16 สถาบัน และสภาคณบดีครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย 71 สถาบันรัฐและเอกชนทั่วประเทศขอเชิญ ครู อาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ตลอดจนภาคเอกชน ผู้บริหารและนักศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งนวัตกรรมทางการศึกษาเข้าประกวดชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นการกระตุ้นการขับเคลื่อนของคนไทยในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาการศึกษาและสังคมของประเทศในระยะยาว อีกทั้งยังกระตุ้นให้เข้าของผลงานได้นำผลงาน วิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์ไปจดสิทธิบัตร และใช้ประโยชน์เชิงการศึกษาอีกด้วยแบ่งรางวัลเป็น 4 ประเภท คือ รางวัลนวัตกรรมเพื่อการศึกษา ประเภทสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีทางการศึกษา ประเภทบุคคล และกลุ่มบุคคล จำนวน 2 รางวัล รางวัลนวัตกรรมเพื่อการศึกษา ประเภท เทคนิคและวิธีการทางการศึกษาประเภทการบริหารและการจัดการทางการศึกษา สถานศึกษา จำนวน 1 รางวัล และรางวัลเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ โดยส่งผลงานได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม สำหรับผู้ที่ชนะเลิศการประกวดจะได้รับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะมอบในงาน EDUCA 2009 ระหว่างวันที่ 15-17 ต.ค. 52 ณ ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2748-7007 ต่อ 126,137,08-1868-3211,08-1868-3211,08-1614-3096 หรือที่เว็บไซต์ www.deuca-iclt.com
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
ข่าวนวัตกรรมการศึกษา
ไอบีเอ็มเปิดตัวโปรแกรมฝึกภาษาอังกฤษ “รีดดิ้ง คอมพาเนียน”
ไอบีเอ็มเปิดตัว “Reading Companion” โปรแกรมฝึกภาษาอังกฤษผ่านเว็บไซต์ฟรีตลอด 24 ชม. เตรียมเผยแพร่ให้โรงเรียนต่างๆ หวังติดอาวุธทางปัญญาให้เด็กไทยเก่งภาษาและคอมพิวเตอร์ พร้อมนำร่องมอบโปรแกรมให้ 2 โรงเรียน “สาธิตจุฬาฯ - สาธิตเกษตรฯ” หนึ่งในวิสัยทัศน์ของไอบีเอ็มคือการสนับสนุนการศึกษาและการพัฒนาบุคลากร เพราะไอบีเอ็มตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกทุกวันนี้เชื่อมโยงถึงกันหมด จึงทำให้การศึกษาและความสามารถด้านภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ได้เวทีโลก ดังนั้น การพัฒนาทักษะทางภาษาจึงเป็นหนึ่งในโครงการที่ไอบีเอ็มดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับประเทศไทย เรายังไม่สามารถผลิตบุคลากรให้เพียงพอทั้งคุณภาพและปริมาณเพื่อรองรับกับความเจริญรุดหน้าของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาการขาดความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ไอบีเอ็มจึงเห็นโอกาสที่เราจะสามารถนำความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทย เนื่องจากเรามองว่าการศึกษาเพื่อบุคลากรในศตวรรษใหม่ หรือ Education for 21st Century นั้น ควรมุ่งเป้าหมายไปที่การผลิตให้เยาวชนมีความสามารถในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน ทั้งด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงด้านภาษา จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวโปรแกรม Reading Companion เป็นครั้งแรกในประเทศไทยในวันนี้”
นางอรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดของโปรแกรม Reading Companion (รีดดิ้ง คอมพาเนียน) ว่า “Reading Companion เป็นซอฟต์แวร์เพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านเว็บไซต์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีจดจำเสียง (Voice Recognition Technology) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ไอบีเอ็มได้พัฒนามานานกว่าทศวรรษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกให้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เน้นกลุ่มเป้าหมายคือเด็กอายุตั้งแต่ 5-7 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ใหญ่ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ซึ่งปัจจุบันไอบีเอ็มได้มอบสิทธิการใช้โปรแกรมดังกล่าวให้แก่โรงเรียนและองค์กรไม่แสวงผลกำไรกว่า 750 แห่งใน 26 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
สำหรับการมอบสิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ให้แก่โรงเรียน 2 แห่ง คือโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฝ่ายประถม) และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา นั้น นางอรอุมากล่าวถึงที่มาว่า ก่อนหน้านี้ไอบีเอ็มได้เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนการสอนให้แก่ทั้งสองโรงเรียนนี้มาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ในครั้งนี้ไอบีเอ็มจึงได้ร่วมมือกับทั้งสองโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมอบสิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ซึ่งภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ทั้งสองโรงเรียนจะนำโปรแกรม Reading Companion เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษต่อไป
รศ. สุปราณี จิราณรงค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฝ่ายประถม) กล่าวว่า “ในยุคปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากในฐานะที่เป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ในทุกๆ สาขา อย่างไรก็ตามนักเรียนไทยปัจจุบันยังขาดทักษะภาษาอังกฤษโดยเฉพาะการฟังและการพูด ซึ่งที่ผ่านมาทางโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ และได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้มีความก้าวหน้าและทันสมัยมาโดยตลอด”
ถึงแม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยเริ่มมีการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากขึ้นก็ตาม แต่จากข้อมูลขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) ในปี 2549 พบว่า การใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องในโรงเรียนไทยอยู่ในอัตราที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศลาวและประเทศเวียดนาม
“การสนับสนุนจากไอบีเอ็มในครั้งนี้นับเป็นที่น่ายินดีที่โรงเรียนได้สิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ซึ่งเชื่อว่าจะเข้ามาเป็นส่วนเสริมที่สามารถช่วยให้นักเรียนมีเครื่องมือในการฝึกฝนด้วยตนเอง นอกเหนือไปจากการเรียนจากครูผู้สอนเพียงอย่างเดียว โดยโรงเรียนจะนำโปรแกรม Reading Companion เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น และในระยะยาว เมื่อเยาวชนไทยรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น ก็จะเปรียบเสมือนได้ติดอาวุธสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากลได้”
รศ. ดร. ดารณี อุทัยรัตนกิจ อาจารย์ใหญ่ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “หนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ คือการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา โปรแกรม Reading Companion จึงถือเป็นอีกนวัตกรรมเพื่อการศึกษาที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ตลอดจนเสริมสร้างทักษะทางด้านการใช้คอมพิวเตอร์ของนักเรียน เพื่อสร้างนักเรียนให้มีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง ตลอดจนชุมชนและประเทศชาติต่อไป
ทั้งนี้ ในการเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ผล การฝึกฝนเท่านั้นที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่านักเรียนจะเรียนหลักสูตรใดมาก็ตาม ซึ่งโปรแกรม Reading Companion สามารถตอบโจทย์ที่ว่านี้ เพราะนักเรียนสามารถเข้ามาฝึกอ่านและฝึกออกเสียงแบบตัวต่อตัวกับโปรแกรมได้ตลอดเวลาในเว็บไซต์ และนอกจากจะได้ฝึกภาษาแล้วยังเป็นการสร้างทักษะทางด้านการใช้เทคโนโลยีให้แก่เด็กอีกด้วย จึงเชื่อว่าโปรแกรม Reading Companion จะทำให้เด็กนักเรียนของโรงเรียนมีพื้นฐานทั้งด้านภาษาและคอมพิวเตอร์ที่ดีต่อไปในอนาคต”
ทั้งนี้ นายธันวา กล่าวต่อไปถึงแผนการสนับสนุนการศึกษาของไอบีเอ็มในอนาคตว่า ความร่วมมือของทั้งสองโรงเรียนในวันนี้ถือเป็นโครงการนำร่อง ซึ่งต่อไปไอบีเอ็มจะมอบสิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ให้โรงเรียนต่างๆ เพื่อขยายโอกาสทางด้านการศึกษา โดยเบื้องต้นจะเน้นที่โรงเรียนรัฐบาล จากนั้นจึงขยายไปสู่โรงเรียนและสถาบันต่างๆ ที่สนใจต่อไป โดยโรงเรียนที่ร่วมโครงการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
“ทุกวันนี้โลกเราเชื่อมโยงถึงกันทั้งทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม และการศึกษาก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาโลกนี้ให้ฉลาดขึ้น ความร่วมมือในวันนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ไอบีเอ็มได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาของไทย และไอบีเอ็มจะทำอย่างต่อเนื่องต่อไป” นายธันวา กล่าว
สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Reading Companion สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งขอเอกสารเพื่อรับการพิจารณามอบสิทธิในการใช้โปรแกรมได้ที่ ฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด โทร. 02-273-4633
ไอบีเอ็มเปิดตัว “Reading Companion” โปรแกรมฝึกภาษาอังกฤษผ่านเว็บไซต์ฟรีตลอด 24 ชม. เตรียมเผยแพร่ให้โรงเรียนต่างๆ หวังติดอาวุธทางปัญญาให้เด็กไทยเก่งภาษาและคอมพิวเตอร์ พร้อมนำร่องมอบโปรแกรมให้ 2 โรงเรียน “สาธิตจุฬาฯ - สาธิตเกษตรฯ” หนึ่งในวิสัยทัศน์ของไอบีเอ็มคือการสนับสนุนการศึกษาและการพัฒนาบุคลากร เพราะไอบีเอ็มตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกทุกวันนี้เชื่อมโยงถึงกันหมด จึงทำให้การศึกษาและความสามารถด้านภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ได้เวทีโลก ดังนั้น การพัฒนาทักษะทางภาษาจึงเป็นหนึ่งในโครงการที่ไอบีเอ็มดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับประเทศไทย เรายังไม่สามารถผลิตบุคลากรให้เพียงพอทั้งคุณภาพและปริมาณเพื่อรองรับกับความเจริญรุดหน้าของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาการขาดความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ไอบีเอ็มจึงเห็นโอกาสที่เราจะสามารถนำความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทย เนื่องจากเรามองว่าการศึกษาเพื่อบุคลากรในศตวรรษใหม่ หรือ Education for 21st Century นั้น ควรมุ่งเป้าหมายไปที่การผลิตให้เยาวชนมีความสามารถในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน ทั้งด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงด้านภาษา จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวโปรแกรม Reading Companion เป็นครั้งแรกในประเทศไทยในวันนี้”
นางอรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดของโปรแกรม Reading Companion (รีดดิ้ง คอมพาเนียน) ว่า “Reading Companion เป็นซอฟต์แวร์เพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านเว็บไซต์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีจดจำเสียง (Voice Recognition Technology) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ไอบีเอ็มได้พัฒนามานานกว่าทศวรรษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกให้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เน้นกลุ่มเป้าหมายคือเด็กอายุตั้งแต่ 5-7 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ใหญ่ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ซึ่งปัจจุบันไอบีเอ็มได้มอบสิทธิการใช้โปรแกรมดังกล่าวให้แก่โรงเรียนและองค์กรไม่แสวงผลกำไรกว่า 750 แห่งใน 26 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
สำหรับการมอบสิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ให้แก่โรงเรียน 2 แห่ง คือโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฝ่ายประถม) และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา นั้น นางอรอุมากล่าวถึงที่มาว่า ก่อนหน้านี้ไอบีเอ็มได้เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนการสอนให้แก่ทั้งสองโรงเรียนนี้มาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ในครั้งนี้ไอบีเอ็มจึงได้ร่วมมือกับทั้งสองโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมอบสิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ซึ่งภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ทั้งสองโรงเรียนจะนำโปรแกรม Reading Companion เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษต่อไป
รศ. สุปราณี จิราณรงค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฝ่ายประถม) กล่าวว่า “ในยุคปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากในฐานะที่เป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ในทุกๆ สาขา อย่างไรก็ตามนักเรียนไทยปัจจุบันยังขาดทักษะภาษาอังกฤษโดยเฉพาะการฟังและการพูด ซึ่งที่ผ่านมาทางโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ และได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้มีความก้าวหน้าและทันสมัยมาโดยตลอด”
ถึงแม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยเริ่มมีการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากขึ้นก็ตาม แต่จากข้อมูลขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) ในปี 2549 พบว่า การใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องในโรงเรียนไทยอยู่ในอัตราที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศลาวและประเทศเวียดนาม
“การสนับสนุนจากไอบีเอ็มในครั้งนี้นับเป็นที่น่ายินดีที่โรงเรียนได้สิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ซึ่งเชื่อว่าจะเข้ามาเป็นส่วนเสริมที่สามารถช่วยให้นักเรียนมีเครื่องมือในการฝึกฝนด้วยตนเอง นอกเหนือไปจากการเรียนจากครูผู้สอนเพียงอย่างเดียว โดยโรงเรียนจะนำโปรแกรม Reading Companion เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น และในระยะยาว เมื่อเยาวชนไทยรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น ก็จะเปรียบเสมือนได้ติดอาวุธสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากลได้”
รศ. ดร. ดารณี อุทัยรัตนกิจ อาจารย์ใหญ่ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “หนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ คือการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา โปรแกรม Reading Companion จึงถือเป็นอีกนวัตกรรมเพื่อการศึกษาที่จะช่วยเพิ่มทักษะในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ตลอดจนเสริมสร้างทักษะทางด้านการใช้คอมพิวเตอร์ของนักเรียน เพื่อสร้างนักเรียนให้มีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง ตลอดจนชุมชนและประเทศชาติต่อไป
ทั้งนี้ ในการเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ผล การฝึกฝนเท่านั้นที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่านักเรียนจะเรียนหลักสูตรใดมาก็ตาม ซึ่งโปรแกรม Reading Companion สามารถตอบโจทย์ที่ว่านี้ เพราะนักเรียนสามารถเข้ามาฝึกอ่านและฝึกออกเสียงแบบตัวต่อตัวกับโปรแกรมได้ตลอดเวลาในเว็บไซต์ และนอกจากจะได้ฝึกภาษาแล้วยังเป็นการสร้างทักษะทางด้านการใช้เทคโนโลยีให้แก่เด็กอีกด้วย จึงเชื่อว่าโปรแกรม Reading Companion จะทำให้เด็กนักเรียนของโรงเรียนมีพื้นฐานทั้งด้านภาษาและคอมพิวเตอร์ที่ดีต่อไปในอนาคต”
ทั้งนี้ นายธันวา กล่าวต่อไปถึงแผนการสนับสนุนการศึกษาของไอบีเอ็มในอนาคตว่า ความร่วมมือของทั้งสองโรงเรียนในวันนี้ถือเป็นโครงการนำร่อง ซึ่งต่อไปไอบีเอ็มจะมอบสิทธิการใช้โปรแกรม Reading Companion ให้โรงเรียนต่างๆ เพื่อขยายโอกาสทางด้านการศึกษา โดยเบื้องต้นจะเน้นที่โรงเรียนรัฐบาล จากนั้นจึงขยายไปสู่โรงเรียนและสถาบันต่างๆ ที่สนใจต่อไป โดยโรงเรียนที่ร่วมโครงการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
“ทุกวันนี้โลกเราเชื่อมโยงถึงกันทั้งทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม และการศึกษาก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาโลกนี้ให้ฉลาดขึ้น ความร่วมมือในวันนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ไอบีเอ็มได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาของไทย และไอบีเอ็มจะทำอย่างต่อเนื่องต่อไป” นายธันวา กล่าว
สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Reading Companion สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งขอเอกสารเพื่อรับการพิจารณามอบสิทธิในการใช้โปรแกรมได้ที่ ฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด โทร. 02-273-4633
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
ข่าวไอทีวันที่ 19 มกราคม 2553
Appleโชว์ iType ออพชั่นใหม่ของiPhone
แข่งขันร้อนแรง Lenovo เผยลูกเล่นเด็ด ออพชั่นคีย์บอร์ดถอดได้ของ LePhone ด้าน Apple งัด iType ออพชั่นเสริมคีย์บอร์ด ของ iPhone และ iPod Touch มาเอาใจลูกค้าเช่นกัน...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ว่า Apple Inc. ไม่น้อยหน้า หลัง Lenovo เผยลูกเล่นเด็ด ออพชั่นคีย์บอร์ดถอดได้ ของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน LePhone จึงปล่อยตัว iType อุปกรณ์เสริมคีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน เอาใจลูกค้า iPhone และ iPod Touch เพื่อความสะดวกสะบายในการพิมพ์ข้อความออนไลน์
นอกจากนี้ iType ยังสามารถชาร์ตแบตเตอรี่ ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย สนนราคาอยู่ราว 4,900 บาท นับเป็นการแข่งขันร้อนแรงของอุปกรณ์ไอที ที่แต่ละแบรนด์พยายามงัดจุดเด่นออกมาโต้คู่แข่งให้ถึงที่สุด
แข่งขันร้อนแรง Lenovo เผยลูกเล่นเด็ด ออพชั่นคีย์บอร์ดถอดได้ของ LePhone ด้าน Apple งัด iType ออพชั่นเสริมคีย์บอร์ด ของ iPhone และ iPod Touch มาเอาใจลูกค้าเช่นกัน...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ว่า Apple Inc. ไม่น้อยหน้า หลัง Lenovo เผยลูกเล่นเด็ด ออพชั่นคีย์บอร์ดถอดได้ ของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน LePhone จึงปล่อยตัว iType อุปกรณ์เสริมคีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน เอาใจลูกค้า iPhone และ iPod Touch เพื่อความสะดวกสะบายในการพิมพ์ข้อความออนไลน์
นอกจากนี้ iType ยังสามารถชาร์ตแบตเตอรี่ ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย สนนราคาอยู่ราว 4,900 บาท นับเป็นการแข่งขันร้อนแรงของอุปกรณ์ไอที ที่แต่ละแบรนด์พยายามงัดจุดเด่นออกมาโต้คู่แข่งให้ถึงที่สุด
การใช้ห้องปฎิบัติการ Micro Teaching มีประโยชน์ดังนี้
จากการรายงานหน้าห้อง Micro Teaching
กลุ่มที่ 1 รายงานเกี่ยวกับเทคนิค access ได้อย่างดี ใช้เพียงกระดาษใน vistualizer จึงไม่ค่อยน่าสนใจเท่าที่ควร
กลุ่มที่ 2 เตรียมการนำเสนอโดย power point มาประกอบ ทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้น แต่พูดไม่ค่อยเข้าใจเท่าที่ควร
กลุ่มที่ 3 รายงานเกี่ยวกับวิธีการทำ relationship โปรแกรม access โดยเตรียมตัวอย่างในการ present สนุกกับการอธิบายให้เข้าใจ
กลุ่มที่ 4 เพื่อนรายงานเกี่ยวกับวิธีการทำ relationship ในโปรแกรม access โดยการอธิบายยังไม่ค่อยพร้อมกับวิธีการทำ
การใช้ห้องปฎิบัติการ Micro Teaching มีประโยชน์ดังนี้
1. Bluetooth ใช้ติดต่อกับอาจารย์ในห้องเรียน
2. โปรเจคเตอร์ ฉายได้อย่างชัดเจน
3. เครื่อง vistualizer ฉายจากกระดาษ
4. กล้องดิจิตอล ถ่ายภาพการนำเสนอ
5. notebook เปิดงานนำเสนอ
กลุ่มที่ 1 รายงานเกี่ยวกับเทคนิค access ได้อย่างดี ใช้เพียงกระดาษใน vistualizer จึงไม่ค่อยน่าสนใจเท่าที่ควร
กลุ่มที่ 2 เตรียมการนำเสนอโดย power point มาประกอบ ทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้น แต่พูดไม่ค่อยเข้าใจเท่าที่ควร
กลุ่มที่ 3 รายงานเกี่ยวกับวิธีการทำ relationship โปรแกรม access โดยเตรียมตัวอย่างในการ present สนุกกับการอธิบายให้เข้าใจ
กลุ่มที่ 4 เพื่อนรายงานเกี่ยวกับวิธีการทำ relationship ในโปรแกรม access โดยการอธิบายยังไม่ค่อยพร้อมกับวิธีการทำ
การใช้ห้องปฎิบัติการ Micro Teaching มีประโยชน์ดังนี้
1. Bluetooth ใช้ติดต่อกับอาจารย์ในห้องเรียน
2. โปรเจคเตอร์ ฉายได้อย่างชัดเจน
3. เครื่อง vistualizer ฉายจากกระดาษ
4. กล้องดิจิตอล ถ่ายภาพการนำเสนอ
5. notebook เปิดงานนำเสนอ
ข่าว IT วันนี้ 18 มกราคม 2553
"กูเกิล" ขอเล่นด้วย "คลาวด์สตอเรจ"
และแล้ว กูเกิล ผู้กำลังทำแทบทุกอย่างเพื่อยึดครองโลกไซเบอร์ ก็กระโดดเข้ามาในสมรภูมิ "คลาวด์ สตอเรจ" อีกเจ้า โดยผ่านเว็บ แอปพลิเคชั่น "กูเกิลดอคส์" ที่ให้บริการอยู่ ผู้ใช้แอปพลิเคชั่นตัวนี้จะสามารถอัพโหลดไฟล์ทุกชนิดขึ้นไปเก็บไว้ที่คลาวด์สตอเรจได้ ในเบื้องต้นจะให้พื้นที่ฟรีไม่เกิน 1 GB
ด้วยฐานของผู้ใช้งานกูเกิลดอคส์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้อยู่ในกลุ่มคนที่ทำงานแบบไม่ติดสถานที่ และ การทำงานร่วมกันเป็น กลุ่ม จะทำให้การก้าวเข้ามาให้บริการ คลาวด์สตอเรจของกูเกิลเป็นจังหวะก้าวที่น่าจับตา เพราะยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ก็ให้บริการนี้อยู่แล้วสำหรับผู้ใช้บริการวินโดวส์ ไลฟ์ โดยผ่าน "สกายไดรฟ์" รวมทั้งโมบายมีของแอปเปิลที่เป็นบริการแบบไม่ฟรีด้วย
แนวทางของกูเกิลที่ผ่าน ๆ มารวมทั้งบริการใหม่นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจจากผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นมา ในกรณีนี้ก็คือ กูเกิลดอคส์ต่อไปสู่คลาวด์สตอเรจ ซึ่งพื้นที่ฟรี 1 GB นั้น ถ้าใช้งานกันจริง ๆ นอกเหนือไปจากงานเอกสารทั่ว ๆ ไปแล้วในปัจจุบันถือว่าไม่มากนัก
ผู้ที่ต้องการพื้นที่เพิ่มมากกว่า 1 GB สามารถสมัครใช้งานแบบเสียเงินได้โดย กูเกิลคิดส่วนที่เกินจากนั้น 25 เซนต์ต่อ 1 GB ต่อปี ส่วนผู้ที่ใช้
บริการ กูเกิล แอพส์ พรีเมียร์ ซึ่งเป็นชุดแอปพลิเคชั่นที่ใช้กันอยู่ในองค์กรธุรกิจเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านไอทีและเสริมประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันเทียบเคียงได้กับไมโครซอฟท์เอ็กซ์เชนจ์ สามารถซื้อพื้นที่เพิ่มเติมได้ในราคา 3.5 เหรียญสหรัฐต่อ GB ต่อปี
จุดเด่นของกูเกิลอยู่ตรงที่แอปพลิชั่นของกูเกิลเป็นเว็บแอปพลิเคชั่นข้ามแพลตฟอร์มและไม่อิงกับการติดตั้งซอฟต์แวร์ใด ๆ ลงในฮาร์ดแวร์ ทำให้ยืดหยุ่นมากกับการทำงานในโลกยุคใหม่
คลาวด์คอมพิวติ้ง ซึ่งมาแรงมากในปีที่ผ่านมาน่าจะเริ่มปักหลักมั่นคงและกลายเป็นของธรรมดายิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป ที่นับวันวิถีชีวิตจะเป็นแบบโมบายล์มากขึ้นเรื่อย ๆ
บริการคลาวด์สตอเรจนั้น เป็นมากกว่าเว็บรับฝากไฟล์โดยทั่วไป ตรงที่ระบบการจัดการที่ทำให้สามารถแชร์กับคนอื่นได้เสมือนกับเป็นโฟลเดอร์หนึ่งบนเครื่อง ทว่าสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา
และแล้ว กูเกิล ผู้กำลังทำแทบทุกอย่างเพื่อยึดครองโลกไซเบอร์ ก็กระโดดเข้ามาในสมรภูมิ "คลาวด์ สตอเรจ" อีกเจ้า โดยผ่านเว็บ แอปพลิเคชั่น "กูเกิลดอคส์" ที่ให้บริการอยู่ ผู้ใช้แอปพลิเคชั่นตัวนี้จะสามารถอัพโหลดไฟล์ทุกชนิดขึ้นไปเก็บไว้ที่คลาวด์สตอเรจได้ ในเบื้องต้นจะให้พื้นที่ฟรีไม่เกิน 1 GB
ด้วยฐานของผู้ใช้งานกูเกิลดอคส์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้อยู่ในกลุ่มคนที่ทำงานแบบไม่ติดสถานที่ และ การทำงานร่วมกันเป็น กลุ่ม จะทำให้การก้าวเข้ามาให้บริการ คลาวด์สตอเรจของกูเกิลเป็นจังหวะก้าวที่น่าจับตา เพราะยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ก็ให้บริการนี้อยู่แล้วสำหรับผู้ใช้บริการวินโดวส์ ไลฟ์ โดยผ่าน "สกายไดรฟ์" รวมทั้งโมบายมีของแอปเปิลที่เป็นบริการแบบไม่ฟรีด้วย
แนวทางของกูเกิลที่ผ่าน ๆ มารวมทั้งบริการใหม่นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจจากผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นมา ในกรณีนี้ก็คือ กูเกิลดอคส์ต่อไปสู่คลาวด์สตอเรจ ซึ่งพื้นที่ฟรี 1 GB นั้น ถ้าใช้งานกันจริง ๆ นอกเหนือไปจากงานเอกสารทั่ว ๆ ไปแล้วในปัจจุบันถือว่าไม่มากนัก
ผู้ที่ต้องการพื้นที่เพิ่มมากกว่า 1 GB สามารถสมัครใช้งานแบบเสียเงินได้โดย กูเกิลคิดส่วนที่เกินจากนั้น 25 เซนต์ต่อ 1 GB ต่อปี ส่วนผู้ที่ใช้
บริการ กูเกิล แอพส์ พรีเมียร์ ซึ่งเป็นชุดแอปพลิเคชั่นที่ใช้กันอยู่ในองค์กรธุรกิจเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านไอทีและเสริมประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันเทียบเคียงได้กับไมโครซอฟท์เอ็กซ์เชนจ์ สามารถซื้อพื้นที่เพิ่มเติมได้ในราคา 3.5 เหรียญสหรัฐต่อ GB ต่อปี
จุดเด่นของกูเกิลอยู่ตรงที่แอปพลิชั่นของกูเกิลเป็นเว็บแอปพลิเคชั่นข้ามแพลตฟอร์มและไม่อิงกับการติดตั้งซอฟต์แวร์ใด ๆ ลงในฮาร์ดแวร์ ทำให้ยืดหยุ่นมากกับการทำงานในโลกยุคใหม่
คลาวด์คอมพิวติ้ง ซึ่งมาแรงมากในปีที่ผ่านมาน่าจะเริ่มปักหลักมั่นคงและกลายเป็นของธรรมดายิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป ที่นับวันวิถีชีวิตจะเป็นแบบโมบายล์มากขึ้นเรื่อย ๆ
บริการคลาวด์สตอเรจนั้น เป็นมากกว่าเว็บรับฝากไฟล์โดยทั่วไป ตรงที่ระบบการจัดการที่ทำให้สามารถแชร์กับคนอื่นได้เสมือนกับเป็นโฟลเดอร์หนึ่งบนเครื่อง ทว่าสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา
ข่าว IT วันนี้ 15 มกราคม 2553
แฮคเกอร์เล็งเจาะสมาร์ทโฟน ไอโฟน แอนดรอยด์ แชมป์ปี53
เผยผลสำรวจพบแฮคเกอร์ปี 53 พุ่งเป้าโจมตีมือถือสมาร์ทโฟนมากขึ้น หลังไอโฟน-แอนดรอยด์ ขึ้นแท่นยอดฮิตสำหรับธุรกิจ
เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ เปิดเผยรายงานจากบริษัทด้านความปลอดภัย "เว็บเซนส์ ซิเคียวริตี้ แลบส์" ซึ่งจดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก ระบุว่า สมาร์ทโฟน มีแนวโน้มที่จะเป็นเป้าหมายของเหล่าแฮคเกอร์มากขึ้นในปีนี้ หลังจากแพลทฟอร์ม และระบบปฏิบัติการใหม่ๆ อย่างเช่น แมคส์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาเคลื่อนที่ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อสิ้นปี 2552 เว็บเซนส์ ได้เปิดเผยรายงานว่า แพลทฟอร์มไอโฟน ได้กลายเป็นเป้าหมายแรกของการโจมตีจากแฮคเกอร์ และเริ่มปรากฏมัลแวร์ออกมาขโมยข้อมูลจากไอโฟนเป็นครั้งแรก
ขณะที่ รายงานจากดาร์ค รีดดิ้ง กล่าวว่า กลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา วอลล์เปเปอร์ของไอโฟน ก็ถูกแฮคเกอร์เข้ามาเปลี่ยน และยังมีรายงานอื่นๆ ตามมาเกี่ยวกับเครื่องมือใหม่ๆ สำหรับใช้เจาะระบบไอโฟน ที่สามารถคัดลอกข้อมูลของผู้ใช้ ทั้งอีเมล์, รายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ที่เก็บไว้ในโฟนบุ๊ค, เอสเอ็มเอส และข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้ใช้ไม่ทันระวังว่าจะรั่วไหล
“สมาร์ทโฟนต่างๆ เช่น ไอโฟน และแอนดรอยด์ ซึ่งถูกใช้งานเพื่อจุดประสงค์เชิงธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังกลายเป็นพีซีขนาดเล็กที่มีความสำคัญ และปีนี้ก็จะเผชิญกับการโจมตีเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทั่วๆ" เว็บเซนส์ ระบุ
นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัยที่อ่อนแอของแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนสมาร์ทโฟน จะทำให้ข้อมูลของลูกค้าและองค์กร ต้องเผชิญความเสี่ยง และด้วยฐานผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การพัฒนาของธุรกิจ และการใช้งานมากขึ้นสำหรับธุรกรรมทางการเงินผ่านมือถือ จะยิ่งทำให้ปีนี้ แฮคเกอร์จะทุ่มเทกับการเข้าไปเจาะข้อมูลในสมาร์ทโฟนยิ่งขึ้น
เผยผลสำรวจพบแฮคเกอร์ปี 53 พุ่งเป้าโจมตีมือถือสมาร์ทโฟนมากขึ้น หลังไอโฟน-แอนดรอยด์ ขึ้นแท่นยอดฮิตสำหรับธุรกิจ
เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ เปิดเผยรายงานจากบริษัทด้านความปลอดภัย "เว็บเซนส์ ซิเคียวริตี้ แลบส์" ซึ่งจดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก ระบุว่า สมาร์ทโฟน มีแนวโน้มที่จะเป็นเป้าหมายของเหล่าแฮคเกอร์มากขึ้นในปีนี้ หลังจากแพลทฟอร์ม และระบบปฏิบัติการใหม่ๆ อย่างเช่น แมคส์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาเคลื่อนที่ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อสิ้นปี 2552 เว็บเซนส์ ได้เปิดเผยรายงานว่า แพลทฟอร์มไอโฟน ได้กลายเป็นเป้าหมายแรกของการโจมตีจากแฮคเกอร์ และเริ่มปรากฏมัลแวร์ออกมาขโมยข้อมูลจากไอโฟนเป็นครั้งแรก
ขณะที่ รายงานจากดาร์ค รีดดิ้ง กล่าวว่า กลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา วอลล์เปเปอร์ของไอโฟน ก็ถูกแฮคเกอร์เข้ามาเปลี่ยน และยังมีรายงานอื่นๆ ตามมาเกี่ยวกับเครื่องมือใหม่ๆ สำหรับใช้เจาะระบบไอโฟน ที่สามารถคัดลอกข้อมูลของผู้ใช้ ทั้งอีเมล์, รายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ที่เก็บไว้ในโฟนบุ๊ค, เอสเอ็มเอส และข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้ใช้ไม่ทันระวังว่าจะรั่วไหล
“สมาร์ทโฟนต่างๆ เช่น ไอโฟน และแอนดรอยด์ ซึ่งถูกใช้งานเพื่อจุดประสงค์เชิงธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังกลายเป็นพีซีขนาดเล็กที่มีความสำคัญ และปีนี้ก็จะเผชิญกับการโจมตีเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทั่วๆ" เว็บเซนส์ ระบุ
นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัยที่อ่อนแอของแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนสมาร์ทโฟน จะทำให้ข้อมูลของลูกค้าและองค์กร ต้องเผชิญความเสี่ยง และด้วยฐานผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การพัฒนาของธุรกิจ และการใช้งานมากขึ้นสำหรับธุรกรรมทางการเงินผ่านมือถือ จะยิ่งทำให้ปีนี้ แฮคเกอร์จะทุ่มเทกับการเข้าไปเจาะข้อมูลในสมาร์ทโฟนยิ่งขึ้น
ข่าว IT วันนี้ 14 มกราคม 2553
น้องใหม่ "FireOneOne" แรงบันดาลใจจาก ไมโครซอฟท์
งานเปิดตัวระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 7 เมื่อปลายเดือน ต.ค. 2552 เรียกว่าเป็นเวทีเปิดตัวต่อสาธารณะครั้งสำคัญของบริษัท "ไฟร์ วัน วัน" (FireOneOne) ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ 6 คน ที่ส่วนใหญ่เพิ่งจบการศึกษาจากหลากหลายสถาบัน และบางคนก็ยังอยู่ระหว่างการรอรับปริญญา
ที่เจอะเจอกันบนเว็บไซต์ท่องเที่ยว ที่คุยกันถูกคอ จนมาร่วมมือกันทำงาน เพราะมีสิ่งที่เหมือนกัน และก็มีความฝันและความสนใจในแนวทางเดียวกัน
ในช่วงที่มีการเปิดตัววินโดวส์ 7 ไม่ว่า ในงานแถลงข่าว ในงานเปิดตัวที่ สยามพารากอนและศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไฟร์วันวันเรียกว่าเป็นบริษัทซอฟต์แวร์เด็กไทยรายเดียวที่ได้รับเลือกจากไมโครซอฟท์ให้มานำเสนอผลงานสู่สาธารณะ เรียกว่าเป็นการเปิดประตูโอกาสครั้งสำคัญ
สิ่งที่เด็กกลุ่มนี้นำเสนอก็คือ Multi-Touch Technology ของโต๊ะมัลติทัช ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของ "ไมโครซอฟท์ เซอร์เฟซ" ทำให้เริ่มดำเนินการทำเครื่อง Prototype จนสร้างเป็นโต๊ะมัลติทัชจนสำเร็จและใช้งานได้จริง ทำให้ไฟร์ วัน วันได้รับโอกาสที่ดีจากไมโครซอฟท์ให้ไปโชว์ในการเปิดตัววินโดวส์ 7
โต๊ะมัลติทัชที่ว่านี้มีหน้าตาคล้าย "ไมโครซอฟท์ เซอร์เฟซ" ใช้นิ้วเพื่อระบบสัมผัสในการสั่งการที่พัฒนาต่อยอดจากหน้าจอสัมผัสแบบทัชสกรีน
รากฐานความคิดธุรกิจของไฟร์ วัน วัน คือ ความสนุกในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มแอปเปิล หรือไมโครซอฟท์ ไอโฟนหรือแบล็คเบอร์รี่ ด้วยแนวคิดว่าสามารถเรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีได้ทุกแขนง โดยไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ที่บริษัทซอฟต์แวร์เคยเป็นกันมา โดยไฟร์ วัน วันวางโพซิชั่นของตัวเอง ไว้ว่า "Creative Software Company"
กำเนิดของ "ไฟร์ วัน วัน" นอกจากความลงตัวของทีมงานแล้ว ยังเป็นความลงตัวของเงินทุน เพราะนอกจากเงินทุนส่วนตัวแล้ว ไฟร์ วัน วันยังได้ทุนดูไบเข้ามาเสริมทัพ จากที่มีรุ่นพี่แนะนำเข้ามา ทำให้การทำงานของไฟร์ วัน วันสามารถก้าวไปตามฝันได้
"ชเล นรินทน์สุขสันติ" หนึ่งในทีมงานและผู้ก่อตั้งไฟร์ วัน วัน เล่าว่า กลุ่มของตนเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาด้าน ไอทีมาก่อน ตั้งแต่ยังเรียน
มหาวิทยาลัย จากนั้นเริ่มขยับขึ้นมาเป็นซอฟต์แวร์เฮาส์
หลังจากรวมตัวอย่างหลวม ๆ มานาน สวนทางกับลูกค้าที่เริ่มจริงจังมากขึ้น จึงถึงเวลาที่พวกเขาเลือกที่จะจัดตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการ เพื่อบริหารงานได้ง่ายและเป็นระบบมากขึ้น ส่งผลให้ไฟร์ วัน วันถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงกลางปี 2552
"เราพอใจในความเป็นทีมขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง ทำงานกันทุกวัน ไม่มีวันหยุด ทำงานกันได้ทุกที่ ทั้งออฟฟิศ, ห้องประชุม, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, ล็อบบี้โรงแรม และที่สำคัญสนุกกับการทำงานกันตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นเที่ยงคืนวันศุกร์หรือตีหนึ่งวันอาทิตย์"
"ชเล" เล่าว่า โต๊ะมัลติทัชถือเป็นตัวชูโรงของบริษัท ที่ใช้งบฯพัฒนาโมเดลต้นแบบเกือบ 3 แสนบาท แต่หากนำไปใช้เชิงพาณิชย์จริงก็ขึ้นกับโซลูชั่นที่ลูกค้าแต่ละรายต้องการ ซึ่งการพัฒนามัลติทัชเกิดจากลูกค้าอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งที่อยากได้เพื่อนำไปวางในสำนักงานขายให้ลูกค้าสามารถดู Floor plan, เอกสาร, และรูปแบบห้องลักษณะ 3 มิติ เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
เพราะว่าเทรนด์สื่อดิจิทัลมีมากขึ้น และการใช้เมาส์และคีย์บอร์ดไม่สะดวกสบาย การใช้ระบบสัมผัสทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่ายกว่า ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีบริษัทรายใหญ่ อาทิ ไมโครซอฟท์ หรือสมาร์ตโฟนเริ่มแนะนำเทคโนโลยีมัลติทัชเผยแพร่ให้คนรู้จักมากขึ้น แต่ยังจำกัดในสหรัฐ ยุโรป
"เฉลิมพล ศรีอุทัยศิริวงศ์" ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอีกคนกล่าวว่า "การใช้งานเชิงคอมเมอร์เชียลของมัลติทัชยังมีข้อจำกัด ตอนนี้ในตลาดส่วนใหญ่เป็นซิงเกิลทัช ต้องเข้าหลายขั้นตอน ไม่ต่างกับการใช้เมาส์ แต่ มัลติทัชสามารถรับข้อมูลที่เข้ามาได้มากกว่า 10 จุด สามารถดีไซน์แอปพลิเคชั่นให้เข้าถึงได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม และหน้าตาน่าใช้มากขึ้น การทำงานอยู่บนพื้นฐานของการเข้าใจโปรแกรมที่ออกมาจากธรรมชาติของมนุษย์จริง ๆ เป็นการแสดงผลและรับคำสั่งในโลกอนาคต"
เทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ เซอร์เฟซ ค่อนข้างล้ำหน้าผู้ผลิตรายอื่น ๆ อยู่มาก อาทิ หากวางบัตรเครดิตลงบนเซอร์เฟซ จะสามารถตัดเงินในบัตรได้เลย หรือวางโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป สามารถแลกรูประหว่างกันได้
"ขณะที่มัลติทัชของไฟร์ วัน วัน ยังต้องพัฒนาต่อไปเพื่อให้ไปถึงระดับนั้น อย่างไรก็ตามต้องขึ้นกับความต้องการของลูกค้าด้วยว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์จริงหรือไม่ เพราะถ้าพัฒนาแล้วลูกค้าไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์ถึงขั้นนั้นก็ไม่จำเป็น"
เฉลิมพลอธิบายว่า ประโยชน์ของมัลติทัชสามารถใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ร้านอาหาร ไม่ต้องทำรายการอาหารผ่านเมนูหนังสืออีกต่อไป สั่งอาหารผ่านโต๊ะได้เลย หรือกลุ่มอสังหาริมทริพย์ กลุ่มสถาบันการเงิน นำไปใช้โชว์โมเดลห้องต้นแบบ เครื่องมือทางการเงิน เปรียบเทียบ นวัตกรรมทางการเงิน ลักษณะที่ปรึกษาทางการเงินส่วนตัวที่เข้าใจง่ายขึ้น เป็นต้น
ปัจจุบันก็มีหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการทำวอร์รูมสนใจนำโต๊ะมัลติทัชไปดูแผนที่ แต่หลัก ๆ คือ ภาคเอกชน เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ทั้งสองยังเล่าถึงแผนโกอินเตอร์ด้วย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการหา โลคอลพาร์ตเนอร์ ซึ่งได้มีการทาบทาม โอเปอเรเตอร์ในดูไบเพื่อทำตลาดแอปพลิเคชั่นบนมือถือ
นอกจากโต๊ะมัลติทัช บริษัทยังมีแอปพลิเคชั่นภายใต้ชื่อ "Mango TV" ลักษณะเป็นมีเดียเซ็นเตอร์ประจำห้อง ไม่ว่าจะเป็นในโรงแรมหรือโรงพยาบาล ให้ลูกค้าเลือกดูหนัง ฟังเพลง สั่งอาหารจากทีวี หรือดูรายงานทางการแพทย์ได้ผ่านรีโมตคอนโทรล นอกจากความสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้บริการแล้ว ยังช่วยให้เจ้าของกิจการได้ลดค่าใช้จ่ายด้วย
ถือเป็นการพัฒนาสินค้าโดยดึงความสามารถของแพลตฟอร์มแอปเปิลมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ช่วยให้แขกที่มาพักสามารถจัดโปรแกรมทัวร์ สั่งอาหาร เรียกพนักงานได้แบบครบวงจร ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมที่หัวหินใช้บริการ และโรงพยาบาลรามคำแหงกำลังติดตั้งระบบภายในห้องคนไข้
รวมถึงเทคโนโลยี Augmented reality กล่าวคือ แอปพลิเคชั่นบนมือถือที่จะปรากฏภาพสามมิติ รูป ไอคอน ป้ายบอกทางจราจร ปรากฏขึ้นมาบนมือถือ เมื่อผ่านจุดรับสัญญาณ หรือขับรถอยู่บนถนน อยากรู้ว่าตึกอะไรอยู่ข้างหน้า เพียงชูมือถือขึ้นมาก็จะรู้ได้ว่า ตึกนั้นคืออะไรผ่านทางหน้าจอ และยังสามารถคลิกต่อเพื่อดูการเดินทาง เช็กโปรโมชั่นได้ หรือจะพัฒนาร่วมกับระบบนำทางจีพีเอส ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีการพูดคุยกับโอเปอเรเตอร์บางรายแล้ว คาดว่าปีนี้จะได้เห็นแอปพลิเคชั่นออกมาให้บริการ
ทั้งสองเล่าว่า นโยบายของบริษัทยึดหลักการ "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" เพราะต่อไปการแข่งขันไม่ได้แข่งที่ราคาหรือการลดต้นทุน แต่แข่งกันที่การใช้ความคิดสร้างสรรค์
"จุดขายเรา คือ เข้าใจโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง และเลือกเทคโนโลยีมาตอบโจทย์ของลูกค้า เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะสมทำให้ลูกค้าคุ้มค่าไปถึงอนาคต และจุดต่างของเรา คือ ไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มใด ๆ ต่างจากซอฟต์แวร์เฮาส์รายอื่นที่มุ่งเฉพาะทาง เพราะเรามองถึงการดึงประโยชน์มาใช้งานจริง ๆ มันอาจจะไม่เจ๋งในสายตาของนักพัฒนาแต่มันตอบโจทย์เชิงธุรกิจได้มีประสิทธิภาพ" เฉลิมพลกล่าว
ก่อนจบการสนทนาทั้งสองบอกว่า ต้องขอบคุณไมโครซอฟท์ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักภายใต้โครงการ biz Spark ที่ให้การสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์มาใช้พัฒนาเป็นระยะเวลา 3 ปี มูลค่ากว่า 4 แสนบาท โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 7 ที่เป็นปัจจัยหลักสำคัญในการพัฒนามัลติทัชให้สำเร็จ รวมถึงยังช่วยหาตลาด เช่น ลูกค้ากลุ่มสถาบันการเงินซึ่งเดิมทีไฟร์ วัน วันไม่สามารถเข้าถึงได้และยังได้รับการสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ปาร์คในการช่วย จับคู่ธุรกิจด้วย
งานเปิดตัวระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 7 เมื่อปลายเดือน ต.ค. 2552 เรียกว่าเป็นเวทีเปิดตัวต่อสาธารณะครั้งสำคัญของบริษัท "ไฟร์ วัน วัน" (FireOneOne) ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ 6 คน ที่ส่วนใหญ่เพิ่งจบการศึกษาจากหลากหลายสถาบัน และบางคนก็ยังอยู่ระหว่างการรอรับปริญญา
ที่เจอะเจอกันบนเว็บไซต์ท่องเที่ยว ที่คุยกันถูกคอ จนมาร่วมมือกันทำงาน เพราะมีสิ่งที่เหมือนกัน และก็มีความฝันและความสนใจในแนวทางเดียวกัน
ในช่วงที่มีการเปิดตัววินโดวส์ 7 ไม่ว่า ในงานแถลงข่าว ในงานเปิดตัวที่ สยามพารากอนและศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไฟร์วันวันเรียกว่าเป็นบริษัทซอฟต์แวร์เด็กไทยรายเดียวที่ได้รับเลือกจากไมโครซอฟท์ให้มานำเสนอผลงานสู่สาธารณะ เรียกว่าเป็นการเปิดประตูโอกาสครั้งสำคัญ
สิ่งที่เด็กกลุ่มนี้นำเสนอก็คือ Multi-Touch Technology ของโต๊ะมัลติทัช ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของ "ไมโครซอฟท์ เซอร์เฟซ" ทำให้เริ่มดำเนินการทำเครื่อง Prototype จนสร้างเป็นโต๊ะมัลติทัชจนสำเร็จและใช้งานได้จริง ทำให้ไฟร์ วัน วันได้รับโอกาสที่ดีจากไมโครซอฟท์ให้ไปโชว์ในการเปิดตัววินโดวส์ 7
โต๊ะมัลติทัชที่ว่านี้มีหน้าตาคล้าย "ไมโครซอฟท์ เซอร์เฟซ" ใช้นิ้วเพื่อระบบสัมผัสในการสั่งการที่พัฒนาต่อยอดจากหน้าจอสัมผัสแบบทัชสกรีน
รากฐานความคิดธุรกิจของไฟร์ วัน วัน คือ ความสนุกในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มแอปเปิล หรือไมโครซอฟท์ ไอโฟนหรือแบล็คเบอร์รี่ ด้วยแนวคิดว่าสามารถเรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีได้ทุกแขนง โดยไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ที่บริษัทซอฟต์แวร์เคยเป็นกันมา โดยไฟร์ วัน วันวางโพซิชั่นของตัวเอง ไว้ว่า "Creative Software Company"
กำเนิดของ "ไฟร์ วัน วัน" นอกจากความลงตัวของทีมงานแล้ว ยังเป็นความลงตัวของเงินทุน เพราะนอกจากเงินทุนส่วนตัวแล้ว ไฟร์ วัน วันยังได้ทุนดูไบเข้ามาเสริมทัพ จากที่มีรุ่นพี่แนะนำเข้ามา ทำให้การทำงานของไฟร์ วัน วันสามารถก้าวไปตามฝันได้
"ชเล นรินทน์สุขสันติ" หนึ่งในทีมงานและผู้ก่อตั้งไฟร์ วัน วัน เล่าว่า กลุ่มของตนเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาด้าน ไอทีมาก่อน ตั้งแต่ยังเรียน
มหาวิทยาลัย จากนั้นเริ่มขยับขึ้นมาเป็นซอฟต์แวร์เฮาส์
หลังจากรวมตัวอย่างหลวม ๆ มานาน สวนทางกับลูกค้าที่เริ่มจริงจังมากขึ้น จึงถึงเวลาที่พวกเขาเลือกที่จะจัดตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการ เพื่อบริหารงานได้ง่ายและเป็นระบบมากขึ้น ส่งผลให้ไฟร์ วัน วันถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงกลางปี 2552
"เราพอใจในความเป็นทีมขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง ทำงานกันทุกวัน ไม่มีวันหยุด ทำงานกันได้ทุกที่ ทั้งออฟฟิศ, ห้องประชุม, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, ล็อบบี้โรงแรม และที่สำคัญสนุกกับการทำงานกันตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นเที่ยงคืนวันศุกร์หรือตีหนึ่งวันอาทิตย์"
"ชเล" เล่าว่า โต๊ะมัลติทัชถือเป็นตัวชูโรงของบริษัท ที่ใช้งบฯพัฒนาโมเดลต้นแบบเกือบ 3 แสนบาท แต่หากนำไปใช้เชิงพาณิชย์จริงก็ขึ้นกับโซลูชั่นที่ลูกค้าแต่ละรายต้องการ ซึ่งการพัฒนามัลติทัชเกิดจากลูกค้าอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งที่อยากได้เพื่อนำไปวางในสำนักงานขายให้ลูกค้าสามารถดู Floor plan, เอกสาร, และรูปแบบห้องลักษณะ 3 มิติ เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
เพราะว่าเทรนด์สื่อดิจิทัลมีมากขึ้น และการใช้เมาส์และคีย์บอร์ดไม่สะดวกสบาย การใช้ระบบสัมผัสทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่ายกว่า ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีบริษัทรายใหญ่ อาทิ ไมโครซอฟท์ หรือสมาร์ตโฟนเริ่มแนะนำเทคโนโลยีมัลติทัชเผยแพร่ให้คนรู้จักมากขึ้น แต่ยังจำกัดในสหรัฐ ยุโรป
"เฉลิมพล ศรีอุทัยศิริวงศ์" ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอีกคนกล่าวว่า "การใช้งานเชิงคอมเมอร์เชียลของมัลติทัชยังมีข้อจำกัด ตอนนี้ในตลาดส่วนใหญ่เป็นซิงเกิลทัช ต้องเข้าหลายขั้นตอน ไม่ต่างกับการใช้เมาส์ แต่ มัลติทัชสามารถรับข้อมูลที่เข้ามาได้มากกว่า 10 จุด สามารถดีไซน์แอปพลิเคชั่นให้เข้าถึงได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม และหน้าตาน่าใช้มากขึ้น การทำงานอยู่บนพื้นฐานของการเข้าใจโปรแกรมที่ออกมาจากธรรมชาติของมนุษย์จริง ๆ เป็นการแสดงผลและรับคำสั่งในโลกอนาคต"
เทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ เซอร์เฟซ ค่อนข้างล้ำหน้าผู้ผลิตรายอื่น ๆ อยู่มาก อาทิ หากวางบัตรเครดิตลงบนเซอร์เฟซ จะสามารถตัดเงินในบัตรได้เลย หรือวางโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป สามารถแลกรูประหว่างกันได้
"ขณะที่มัลติทัชของไฟร์ วัน วัน ยังต้องพัฒนาต่อไปเพื่อให้ไปถึงระดับนั้น อย่างไรก็ตามต้องขึ้นกับความต้องการของลูกค้าด้วยว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์จริงหรือไม่ เพราะถ้าพัฒนาแล้วลูกค้าไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์ถึงขั้นนั้นก็ไม่จำเป็น"
เฉลิมพลอธิบายว่า ประโยชน์ของมัลติทัชสามารถใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ร้านอาหาร ไม่ต้องทำรายการอาหารผ่านเมนูหนังสืออีกต่อไป สั่งอาหารผ่านโต๊ะได้เลย หรือกลุ่มอสังหาริมทริพย์ กลุ่มสถาบันการเงิน นำไปใช้โชว์โมเดลห้องต้นแบบ เครื่องมือทางการเงิน เปรียบเทียบ นวัตกรรมทางการเงิน ลักษณะที่ปรึกษาทางการเงินส่วนตัวที่เข้าใจง่ายขึ้น เป็นต้น
ปัจจุบันก็มีหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการทำวอร์รูมสนใจนำโต๊ะมัลติทัชไปดูแผนที่ แต่หลัก ๆ คือ ภาคเอกชน เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ทั้งสองยังเล่าถึงแผนโกอินเตอร์ด้วย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการหา โลคอลพาร์ตเนอร์ ซึ่งได้มีการทาบทาม โอเปอเรเตอร์ในดูไบเพื่อทำตลาดแอปพลิเคชั่นบนมือถือ
นอกจากโต๊ะมัลติทัช บริษัทยังมีแอปพลิเคชั่นภายใต้ชื่อ "Mango TV" ลักษณะเป็นมีเดียเซ็นเตอร์ประจำห้อง ไม่ว่าจะเป็นในโรงแรมหรือโรงพยาบาล ให้ลูกค้าเลือกดูหนัง ฟังเพลง สั่งอาหารจากทีวี หรือดูรายงานทางการแพทย์ได้ผ่านรีโมตคอนโทรล นอกจากความสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้บริการแล้ว ยังช่วยให้เจ้าของกิจการได้ลดค่าใช้จ่ายด้วย
ถือเป็นการพัฒนาสินค้าโดยดึงความสามารถของแพลตฟอร์มแอปเปิลมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ช่วยให้แขกที่มาพักสามารถจัดโปรแกรมทัวร์ สั่งอาหาร เรียกพนักงานได้แบบครบวงจร ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมที่หัวหินใช้บริการ และโรงพยาบาลรามคำแหงกำลังติดตั้งระบบภายในห้องคนไข้
รวมถึงเทคโนโลยี Augmented reality กล่าวคือ แอปพลิเคชั่นบนมือถือที่จะปรากฏภาพสามมิติ รูป ไอคอน ป้ายบอกทางจราจร ปรากฏขึ้นมาบนมือถือ เมื่อผ่านจุดรับสัญญาณ หรือขับรถอยู่บนถนน อยากรู้ว่าตึกอะไรอยู่ข้างหน้า เพียงชูมือถือขึ้นมาก็จะรู้ได้ว่า ตึกนั้นคืออะไรผ่านทางหน้าจอ และยังสามารถคลิกต่อเพื่อดูการเดินทาง เช็กโปรโมชั่นได้ หรือจะพัฒนาร่วมกับระบบนำทางจีพีเอส ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีการพูดคุยกับโอเปอเรเตอร์บางรายแล้ว คาดว่าปีนี้จะได้เห็นแอปพลิเคชั่นออกมาให้บริการ
ทั้งสองเล่าว่า นโยบายของบริษัทยึดหลักการ "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" เพราะต่อไปการแข่งขันไม่ได้แข่งที่ราคาหรือการลดต้นทุน แต่แข่งกันที่การใช้ความคิดสร้างสรรค์
"จุดขายเรา คือ เข้าใจโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง และเลือกเทคโนโลยีมาตอบโจทย์ของลูกค้า เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะสมทำให้ลูกค้าคุ้มค่าไปถึงอนาคต และจุดต่างของเรา คือ ไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มใด ๆ ต่างจากซอฟต์แวร์เฮาส์รายอื่นที่มุ่งเฉพาะทาง เพราะเรามองถึงการดึงประโยชน์มาใช้งานจริง ๆ มันอาจจะไม่เจ๋งในสายตาของนักพัฒนาแต่มันตอบโจทย์เชิงธุรกิจได้มีประสิทธิภาพ" เฉลิมพลกล่าว
ก่อนจบการสนทนาทั้งสองบอกว่า ต้องขอบคุณไมโครซอฟท์ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักภายใต้โครงการ biz Spark ที่ให้การสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์มาใช้พัฒนาเป็นระยะเวลา 3 ปี มูลค่ากว่า 4 แสนบาท โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 7 ที่เป็นปัจจัยหลักสำคัญในการพัฒนามัลติทัชให้สำเร็จ รวมถึงยังช่วยหาตลาด เช่น ลูกค้ากลุ่มสถาบันการเงินซึ่งเดิมทีไฟร์ วัน วันไม่สามารถเข้าถึงได้และยังได้รับการสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ปาร์คในการช่วย จับคู่ธุรกิจด้วย
ข่าว IT วันนี้ 13 มกราคม 2553
เอสวีโอเอยันประมูลสพฐ.เข้มตามเกณฑ์
เอสวีโอเอ ชี้ประมูลคอมพ์สพฐ. กฎเกณฑ์เข้มงวด ผู้ปฏิบัติถูกต้องมีสิทธิมาก เพื่อประโยชน์รัฐ เชื่อเปิดเสรีอาเซียนไม่กระทบคอมพ์ไทยนายวีระ อิงค์ธเนศ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสวีโอเอ กล่าวว่า การแข่งขันประมูลคอมพิวเตอร์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) บริษัทเตรียมความพร้อมมานาน และมีดีลเลอร์ช่วยทำตลาดตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งสเปคมีข้อกำหนดความต้องการสูงมาก และหน่วยงานรัฐก็มีประสบการณ์จัดซื้อมามาก ฉะนั้น ทั้งเครื่อง และเอกสารต้องถูกต้อง ครบถ้วน
"ที่ผ่านมา การประมูลที่ไม่มีเอกสารยืนยันถูกต้อง จะกลายเป็นสินค้าที่ทำขึ้นมาเอง ทำให้มีปัญหาตามมาภายหลัง เอสวีโอเอ ทำตรงนี้มา 25 ปี จึงรอบคอบ และใช้เวลามาก ทุกชิ้นส่วนมาเอกสารยืนยันถูกต้อง"
การเข้าประมูลได้ทำตามสเปคทีโออาร์ส่วนกลาง มีเอกสารยืนยันถูกต้อง ไม่ได้มุ่งแข่งราคาอย่างเดียว ถ้าตรวจเอกสารของบางรายจะเห็น "เพี้ยนๆ" ซึ่งบางโรงเรียนที่ไม่ตรวจละเอียด จะประกาศราคาเลย ถือว่าไม่ถูกต้อง หลังจากนี้ยังต้องมีขั้นตอนการตรวจรับ หากไม่ผ่านก็ตรวจรับไม่ได้ ผู้เสียหายคือผู้ซื้อ หรือหน่วยงานรัฐ
เขา กล่าวถึงกระแสข่าวการเข้าประมูลครั้งนี้มีการฮั้วกันระหว่าง 3 รายใหญ่ จะไม่เข้างานชนกันว่า ตั้งแต่เปิดประมูลก็มี "เจอกัน" บ้าง บางแห่งมีบริษัท สุพรีม ดิสทริบิวชั่น จำกัด หรือบริษัท สงขลาฟินิชชิ่ง จำกัด บางครั้งก็มีบริษัทอื่นๆ
ขณะที่การที่เปิดเสรีอาเซียน เขาเชื่อว่า ไม่กระทบต่อการทำตลาดคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย เพราะภาษีเป็น 0% อยู่แล้ว จึงไม่ได้เปรียบเสียเปรียบแง่ภาษี แต่เป็นเรื่องอีโคโนมี ออฟ สเกล ซึ่งคอมพิวเตอร์อินเตอร์แบรนด์จะครองส่วนแบ่งตลาดได้ง่าย
แม้จะมีเครื่องแบรนด์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ สนใจเข้ามาทำตลาดไทย ก็ไม่เสมอไปที่จะได้เปรียบแบรนด์ไทย เพราะต้องลงทุนแข่งกับผู้ทำตลาดอยู่เดิม ที่น่ากลัวคือคู่แข่งปัจจุบันมากกว่า
"ทำอย่างไรให้การเล่นในตลาดแฟร์ ทำอย่างไรให้รัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ มีรูมให้เล่น เช่น ประมูลราชการต้องใช้ของนำเข้าหรือเปล่า จะอุดหนุนอุตสาหกรรมในประเทศก็ต้องกำหนดการผลิตในประเทศ และมาตรฐานในประเทศ ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ไทยต่อสู้มานานก็ได้เห็นผล มีประมูลราชการบางแห่งหยิบมาตรฐาน มอก. มาใช้ และระเบียบการจัดซื้อ สำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดให้หากผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีผู้ได้รับ มอก. มากกว่า 3 รายก็ไม่จำเป็นต้องนำมาตรฐานต่างประเทศมาใช้"
เขา กล่าวด้วยว่า หากรัฐส่งเสริมจะทำให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตเร็วขึ้น ป้องกันเสียเปรียบการแข่งขัน ซึ่งเชื่อว่าการแข่งขันปีนี้จะแรงมากขึ้น เพราะมีผู้คุมตลาดไม่เกิน 2 แบรนด์ เกือบเป็นการผูกขาดตลาด ทางเลือกและการแข่งขันจะน้อยลง ต่างจากประเทศอื่นที่มีอย่างน้อย 5 แบรนด์
นอกจากนี้ หากรวมพลังอาเซียนก็ไม่ต้องกลัวใคร เพราะไม่ได้กีดกันการค้า แต่การส่งมาจำหน่ายต้องทำตามกติกาในประเทศ เหตุสภาพแวดล้อมประเทศไทย กับต่างประเทศไม่เหมือนกัน หากรัฐบาลบังคับก็ต้องเข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศ ในอดีตไทยเคยมีโรงงานผลิตกล่องกระดาษ ลำโพง ฮาร์ดดิสก์ เมาส์ เคเบิล และเคส พอไม่ได้รับการส่งเสริมก็ย้ายไปจีน
เอสวีโอเอ ชี้ประมูลคอมพ์สพฐ. กฎเกณฑ์เข้มงวด ผู้ปฏิบัติถูกต้องมีสิทธิมาก เพื่อประโยชน์รัฐ เชื่อเปิดเสรีอาเซียนไม่กระทบคอมพ์ไทยนายวีระ อิงค์ธเนศ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสวีโอเอ กล่าวว่า การแข่งขันประมูลคอมพิวเตอร์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) บริษัทเตรียมความพร้อมมานาน และมีดีลเลอร์ช่วยทำตลาดตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งสเปคมีข้อกำหนดความต้องการสูงมาก และหน่วยงานรัฐก็มีประสบการณ์จัดซื้อมามาก ฉะนั้น ทั้งเครื่อง และเอกสารต้องถูกต้อง ครบถ้วน
"ที่ผ่านมา การประมูลที่ไม่มีเอกสารยืนยันถูกต้อง จะกลายเป็นสินค้าที่ทำขึ้นมาเอง ทำให้มีปัญหาตามมาภายหลัง เอสวีโอเอ ทำตรงนี้มา 25 ปี จึงรอบคอบ และใช้เวลามาก ทุกชิ้นส่วนมาเอกสารยืนยันถูกต้อง"
การเข้าประมูลได้ทำตามสเปคทีโออาร์ส่วนกลาง มีเอกสารยืนยันถูกต้อง ไม่ได้มุ่งแข่งราคาอย่างเดียว ถ้าตรวจเอกสารของบางรายจะเห็น "เพี้ยนๆ" ซึ่งบางโรงเรียนที่ไม่ตรวจละเอียด จะประกาศราคาเลย ถือว่าไม่ถูกต้อง หลังจากนี้ยังต้องมีขั้นตอนการตรวจรับ หากไม่ผ่านก็ตรวจรับไม่ได้ ผู้เสียหายคือผู้ซื้อ หรือหน่วยงานรัฐ
เขา กล่าวถึงกระแสข่าวการเข้าประมูลครั้งนี้มีการฮั้วกันระหว่าง 3 รายใหญ่ จะไม่เข้างานชนกันว่า ตั้งแต่เปิดประมูลก็มี "เจอกัน" บ้าง บางแห่งมีบริษัท สุพรีม ดิสทริบิวชั่น จำกัด หรือบริษัท สงขลาฟินิชชิ่ง จำกัด บางครั้งก็มีบริษัทอื่นๆ
ขณะที่การที่เปิดเสรีอาเซียน เขาเชื่อว่า ไม่กระทบต่อการทำตลาดคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย เพราะภาษีเป็น 0% อยู่แล้ว จึงไม่ได้เปรียบเสียเปรียบแง่ภาษี แต่เป็นเรื่องอีโคโนมี ออฟ สเกล ซึ่งคอมพิวเตอร์อินเตอร์แบรนด์จะครองส่วนแบ่งตลาดได้ง่าย
แม้จะมีเครื่องแบรนด์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ สนใจเข้ามาทำตลาดไทย ก็ไม่เสมอไปที่จะได้เปรียบแบรนด์ไทย เพราะต้องลงทุนแข่งกับผู้ทำตลาดอยู่เดิม ที่น่ากลัวคือคู่แข่งปัจจุบันมากกว่า
"ทำอย่างไรให้การเล่นในตลาดแฟร์ ทำอย่างไรให้รัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ มีรูมให้เล่น เช่น ประมูลราชการต้องใช้ของนำเข้าหรือเปล่า จะอุดหนุนอุตสาหกรรมในประเทศก็ต้องกำหนดการผลิตในประเทศ และมาตรฐานในประเทศ ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ไทยต่อสู้มานานก็ได้เห็นผล มีประมูลราชการบางแห่งหยิบมาตรฐาน มอก. มาใช้ และระเบียบการจัดซื้อ สำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดให้หากผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีผู้ได้รับ มอก. มากกว่า 3 รายก็ไม่จำเป็นต้องนำมาตรฐานต่างประเทศมาใช้"
เขา กล่าวด้วยว่า หากรัฐส่งเสริมจะทำให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตเร็วขึ้น ป้องกันเสียเปรียบการแข่งขัน ซึ่งเชื่อว่าการแข่งขันปีนี้จะแรงมากขึ้น เพราะมีผู้คุมตลาดไม่เกิน 2 แบรนด์ เกือบเป็นการผูกขาดตลาด ทางเลือกและการแข่งขันจะน้อยลง ต่างจากประเทศอื่นที่มีอย่างน้อย 5 แบรนด์
นอกจากนี้ หากรวมพลังอาเซียนก็ไม่ต้องกลัวใคร เพราะไม่ได้กีดกันการค้า แต่การส่งมาจำหน่ายต้องทำตามกติกาในประเทศ เหตุสภาพแวดล้อมประเทศไทย กับต่างประเทศไม่เหมือนกัน หากรัฐบาลบังคับก็ต้องเข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศ ในอดีตไทยเคยมีโรงงานผลิตกล่องกระดาษ ลำโพง ฮาร์ดดิสก์ เมาส์ เคเบิล และเคส พอไม่ได้รับการส่งเสริมก็ย้ายไปจีน
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553
ข่าว IT วันนี้ 12 มกราคม 2553
ทรูเล็งทุ่ม 7,000 พันล้าน พัฒนาโครงข่าย 3G
พร้อมขยายสถานีฐานกว่าเท่าตัว ต่อยอดประสิทธิภาพคลื่น 850 MHz ระหว่างรอเปิดประมูล 3G เชื่อธุรกิจมือถือยังทรงตัว หวังเทคโนโลยีใหม่ช่วยหนุนตลาดโตต่อเนื่อง...
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2553 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 6,000-7,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงข่ายที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน และพัฒนาบริการเทคโนโลยีเครือข่ายระบบ 3G บนคลื่นเดิม ระหว่างที่การเปิดประมูลใบอนุญาตให้บริการระบบ 3G เต็มรูปแบบยังคงเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ขณะที่ ภาพรวมธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงทรงตัว เชื่อว่า หากมีการให้บริการระบบ 3G ก็จะช่วยให้เกิดผลดีและส่งผลให้ตลาดเติบโตต่อไปได้
กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนขยายสถานีฐานระบบ 3G บนคลื่นเดิม (850 MHz) ไว้ประมาณ 300-500 ล้านบาท พร้อมเพิ่มสถานีฐานเป็น 120 สถานี จากเดิม 60 สถานี ในพื้นที่เดิม ได้แก่ กรุงเทพฯ บางส่วน ภูเก็ต เชียงใหม่ และหัวหิน นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจทรูวิชั่น ยังลงนามความร่วมมือกับ ฟินิกซ์ ทีวี หรือ ฟีนิกซ์ แซทเทิลไลท์ เทเลวิชั่นส์ โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิตสื่อประเทศจีน เพื่อแลกเปลี่ยนธุรกรรมด้านพาณิชย์ ความรู้ เทคโนโลยี และสาระบันเทิง โดยฟินิกซ์ทีวี มีแผนทำสารคดีในประเทศไทย 2 เรื่อง คือ ช้าง จ.สุรินทร์ และเกษตรกรรมของไทย
พร้อมขยายสถานีฐานกว่าเท่าตัว ต่อยอดประสิทธิภาพคลื่น 850 MHz ระหว่างรอเปิดประมูล 3G เชื่อธุรกิจมือถือยังทรงตัว หวังเทคโนโลยีใหม่ช่วยหนุนตลาดโตต่อเนื่อง...
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2553 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 6,000-7,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงข่ายที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน และพัฒนาบริการเทคโนโลยีเครือข่ายระบบ 3G บนคลื่นเดิม ระหว่างที่การเปิดประมูลใบอนุญาตให้บริการระบบ 3G เต็มรูปแบบยังคงเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ขณะที่ ภาพรวมธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงทรงตัว เชื่อว่า หากมีการให้บริการระบบ 3G ก็จะช่วยให้เกิดผลดีและส่งผลให้ตลาดเติบโตต่อไปได้
กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนขยายสถานีฐานระบบ 3G บนคลื่นเดิม (850 MHz) ไว้ประมาณ 300-500 ล้านบาท พร้อมเพิ่มสถานีฐานเป็น 120 สถานี จากเดิม 60 สถานี ในพื้นที่เดิม ได้แก่ กรุงเทพฯ บางส่วน ภูเก็ต เชียงใหม่ และหัวหิน นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจทรูวิชั่น ยังลงนามความร่วมมือกับ ฟินิกซ์ ทีวี หรือ ฟีนิกซ์ แซทเทิลไลท์ เทเลวิชั่นส์ โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิตสื่อประเทศจีน เพื่อแลกเปลี่ยนธุรกรรมด้านพาณิชย์ ความรู้ เทคโนโลยี และสาระบันเทิง โดยฟินิกซ์ทีวี มีแผนทำสารคดีในประเทศไทย 2 เรื่อง คือ ช้าง จ.สุรินทร์ และเกษตรกรรมของไทย
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553
ข่าว IT วันนี้ 11 มกราคม 2553
ไทยแลนด์ เกม โชว์ 2010 จุดองศาร้อนอุตสาหกรรมพันล้าน
แล้ว "วันเด็กแห่งชาติ" ที่เด็กๆ ทั่วประเทศตั้งตารอก็มาถึง แถมยังเป็นวันเปิดฉาก "มหกรรมเด็กเล่นเกม" อย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบทั้งนี้ไม่เพียงถูกคาดหวังว่าจะเป็นงานที่ดึงความสนใจของเด็กๆ ได้มากที่สุดแล้ว "ไทยแลนด์ เกม โชว์" ปีนี้ยังถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นเวทีที่ช่วยจุดองศาร้อนให้แก่อุตสาหกรรมพันล้านให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นตั้งแต่ต้นปี
"พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด ผู้จัดงานไทยแลนด์ เกม โชว์ 2010 หรือทีจีเอส เชื่อว่า อุตสาหกรรมเกมไทยปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุด เพราะเริ่มเห็นสัญญาณความคึกคักจากผู้ประกอบการกำลังวางแผนเปิดเกมรุกครั้งใหญ่ รวมทั้งการขยับตัวของนักพัฒนาเกมไทยที่ทำให้ตลาดเริ่มมีสีสันมากขึ้น
เขาประเมินตัวเลขคร่าวๆ ว่า ปีนี้อุตสาหกรรมไทยเกมจะมีมูลค่าทะยานขึ้นไปถึง 3,000 ล้านบาทจากปีที่ผ่านมาๆ ราว 1,500 - 2,000 ล้านบาท เพราะแรงส่งจากการเปิดตัวเกมใหม่ และจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะงานนี้คาดว่าจะมีคนเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนราย
"ความน่าสนใจของอุตสาหกรรมเกมในบ้านเรามีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่เด็กก็ยังได้ค่าขนมเท่าเดิม ซึ่งปัจจัยคือ คอนเทนท์ต่างหากที่เป็นตัวกระชากให้ตลาด Peak หรือไม่ Peak"
เขาบอกว่า ทีจีเอสปีนี้ใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมาด้วยจำนวนผู้ประกอบการเกมที่เข้าร่วมงานถึง 20 ราย จากปีที่ผ่านมามีเพียง 9 รายหลักๆ เพราะปีนี้มีค่ายเกมใหม่ และค่ายเกมไทยเข้าร่วมด้วย ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวเกมใหม่ในงานไม่ต่ำกว่า 26 เกม ส่วนใหญ่ยังเป็นเกมออนไลน์
ทั้งนี้มีเกมจากนักพัฒนาไทย เช่น "Kill in Action" เกมใหม่จากค่ายใหม่ "ไวรัส สตูดิโอ" มาในแนวเอฟพีเอส (First Person Shooting) การอัพเดทของค่ายเกมรายใหญ่ทั้ง "แบล็คโร้ค" ฟูล 3ดี เอ็มเอ็มโออาร์พีจี ตัวแรกของอินิทรี, "แอตแลนติก้า", ทเวลท์ สกาย จากเอเชียซอฟท์ และ "พอยท์แบล็งค์" จากเอ็นซีทรู
ส่วนไฮไลต์เด็ดคือ การจับมือกันของ 4 พันธมิตรทั้งเอเชียซอฟท์, พร้อมมิตร โปรดักชั่น, เอ็ม เอฟ อี ซี และไอบีเอ็ม ประเทศไทย พัฒนาเกมออนไลน์สายพันธุ์ไทย “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชออนไลน์” เป็นเกมออนไลน์เต็มรูปแบบเกมแรกของประเทศ
ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้จัดการโครงการ บริษัท พร้อมมิตร โปรดักชั่น จำกัด เล่าว่า เกมออนไลน์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชออนไลน์” เป็นเกมที่ศึกษาประวัติศาสตร์แทบจะ 100% ให้ถูกต้องมากที่สุด เช่นเดียวกับการศึกษาเพื่อสร้างภาพยนตร์ มีการพัฒนามาแล้วประมาณ 3 ปี ซึ่งนอกจากความสนุกสนานแล้ว ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน โดยพร้อมเปิดโคลส เบต้าเร็วๆ นี้
"ทีจีเอส" ปีนี้ยังเปิดเวทีให้คอเกมได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด "The Compepitios!!" ซึ่งผู้จัดคาดหวังจะให้เกิดพื้นที่สำหรับเกมเมอร์ได้แสดงฝีมือด้วยการประชันเกมอย่าง เพื่อตอกย้ำว่า เล่นเกมก็มีสาระ!!
"พงศ์สุข" บอกว่า ปีนี้ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โออิชิ และน้ำดื่ม เนสท์เล่ เพียว ไลฟ์ จัดแข่งขันเกมรูปแบบใหม่ ทั้งยังได้รับความร่วมมือจากภาครัฐอย่างเต็มตัว นำโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาร่วมจัดโซน "นิทรรศการเกมวิทย์ : คิดเป็นวิทยาศาสตร์...ด้วยเกม" พร้อมทั้งนำเกมดีๆ เข้ามาให้เหล่าเกมเมอร์ได้รู้จัก
พร้อมกันนี้ยังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า เข้ามาร่วมจัดกิจกรรมสัมมนา และเปิด "โรงเรียนเปลี่ยนผู้เล่นเป็นผู้สร้าง" เพื่อจุดประกายให้ความรู้กับเกมเมอร์รุ่นเยาว์เพื่อเป็นนักพัฒนาเกมในอนาคต
นอกจากนี้ในงานยังจะได้พบกับการกลับมาอีกครั้งของราชาเพลงการ์ตูนญี่ปุ่น ฮิโรโนบุ คาเงยาม่า ซึ่งถือว่าเป็นอีกสีสันหนึ่งที่เรียกความสนใจให้กับงานวันเด็กได้เป็นอย่างดี
รู้แล้วก็อย่าช้า.....พรุ่งนี้ (10 มกราคม 2553) วันสุดท้าย ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
แล้ว "วันเด็กแห่งชาติ" ที่เด็กๆ ทั่วประเทศตั้งตารอก็มาถึง แถมยังเป็นวันเปิดฉาก "มหกรรมเด็กเล่นเกม" อย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบทั้งนี้ไม่เพียงถูกคาดหวังว่าจะเป็นงานที่ดึงความสนใจของเด็กๆ ได้มากที่สุดแล้ว "ไทยแลนด์ เกม โชว์" ปีนี้ยังถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นเวทีที่ช่วยจุดองศาร้อนให้แก่อุตสาหกรรมพันล้านให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นตั้งแต่ต้นปี
"พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด ผู้จัดงานไทยแลนด์ เกม โชว์ 2010 หรือทีจีเอส เชื่อว่า อุตสาหกรรมเกมไทยปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุด เพราะเริ่มเห็นสัญญาณความคึกคักจากผู้ประกอบการกำลังวางแผนเปิดเกมรุกครั้งใหญ่ รวมทั้งการขยับตัวของนักพัฒนาเกมไทยที่ทำให้ตลาดเริ่มมีสีสันมากขึ้น
เขาประเมินตัวเลขคร่าวๆ ว่า ปีนี้อุตสาหกรรมไทยเกมจะมีมูลค่าทะยานขึ้นไปถึง 3,000 ล้านบาทจากปีที่ผ่านมาๆ ราว 1,500 - 2,000 ล้านบาท เพราะแรงส่งจากการเปิดตัวเกมใหม่ และจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะงานนี้คาดว่าจะมีคนเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนราย
"ความน่าสนใจของอุตสาหกรรมเกมในบ้านเรามีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่เด็กก็ยังได้ค่าขนมเท่าเดิม ซึ่งปัจจัยคือ คอนเทนท์ต่างหากที่เป็นตัวกระชากให้ตลาด Peak หรือไม่ Peak"
เขาบอกว่า ทีจีเอสปีนี้ใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมาด้วยจำนวนผู้ประกอบการเกมที่เข้าร่วมงานถึง 20 ราย จากปีที่ผ่านมามีเพียง 9 รายหลักๆ เพราะปีนี้มีค่ายเกมใหม่ และค่ายเกมไทยเข้าร่วมด้วย ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวเกมใหม่ในงานไม่ต่ำกว่า 26 เกม ส่วนใหญ่ยังเป็นเกมออนไลน์
ทั้งนี้มีเกมจากนักพัฒนาไทย เช่น "Kill in Action" เกมใหม่จากค่ายใหม่ "ไวรัส สตูดิโอ" มาในแนวเอฟพีเอส (First Person Shooting) การอัพเดทของค่ายเกมรายใหญ่ทั้ง "แบล็คโร้ค" ฟูล 3ดี เอ็มเอ็มโออาร์พีจี ตัวแรกของอินิทรี, "แอตแลนติก้า", ทเวลท์ สกาย จากเอเชียซอฟท์ และ "พอยท์แบล็งค์" จากเอ็นซีทรู
ส่วนไฮไลต์เด็ดคือ การจับมือกันของ 4 พันธมิตรทั้งเอเชียซอฟท์, พร้อมมิตร โปรดักชั่น, เอ็ม เอฟ อี ซี และไอบีเอ็ม ประเทศไทย พัฒนาเกมออนไลน์สายพันธุ์ไทย “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชออนไลน์” เป็นเกมออนไลน์เต็มรูปแบบเกมแรกของประเทศ
ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้จัดการโครงการ บริษัท พร้อมมิตร โปรดักชั่น จำกัด เล่าว่า เกมออนไลน์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชออนไลน์” เป็นเกมที่ศึกษาประวัติศาสตร์แทบจะ 100% ให้ถูกต้องมากที่สุด เช่นเดียวกับการศึกษาเพื่อสร้างภาพยนตร์ มีการพัฒนามาแล้วประมาณ 3 ปี ซึ่งนอกจากความสนุกสนานแล้ว ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน โดยพร้อมเปิดโคลส เบต้าเร็วๆ นี้
"ทีจีเอส" ปีนี้ยังเปิดเวทีให้คอเกมได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด "The Compepitios!!" ซึ่งผู้จัดคาดหวังจะให้เกิดพื้นที่สำหรับเกมเมอร์ได้แสดงฝีมือด้วยการประชันเกมอย่าง เพื่อตอกย้ำว่า เล่นเกมก็มีสาระ!!
"พงศ์สุข" บอกว่า ปีนี้ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โออิชิ และน้ำดื่ม เนสท์เล่ เพียว ไลฟ์ จัดแข่งขันเกมรูปแบบใหม่ ทั้งยังได้รับความร่วมมือจากภาครัฐอย่างเต็มตัว นำโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาร่วมจัดโซน "นิทรรศการเกมวิทย์ : คิดเป็นวิทยาศาสตร์...ด้วยเกม" พร้อมทั้งนำเกมดีๆ เข้ามาให้เหล่าเกมเมอร์ได้รู้จัก
พร้อมกันนี้ยังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า เข้ามาร่วมจัดกิจกรรมสัมมนา และเปิด "โรงเรียนเปลี่ยนผู้เล่นเป็นผู้สร้าง" เพื่อจุดประกายให้ความรู้กับเกมเมอร์รุ่นเยาว์เพื่อเป็นนักพัฒนาเกมในอนาคต
นอกจากนี้ในงานยังจะได้พบกับการกลับมาอีกครั้งของราชาเพลงการ์ตูนญี่ปุ่น ฮิโรโนบุ คาเงยาม่า ซึ่งถือว่าเป็นอีกสีสันหนึ่งที่เรียกความสนใจให้กับงานวันเด็กได้เป็นอย่างดี
รู้แล้วก็อย่าช้า.....พรุ่งนี้ (10 มกราคม 2553) วันสุดท้าย ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ข่าว IT วันนี้ 8 มกราคม 2553
ไซแมนเทค'เผยตัวเลขอีเมล์ขยะ
ไซแมนเทค รายงานสถานการณ์อี-เมล์ขยะประจำเดือนธันวาคม 2552 เผยปีเสือตัวเลขเพิ่มสูงกว่า 95% เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีด้วยวิธีการใหม่ทั้งอี-เมล์ขยะแฝงมัลแวร์ การใช้เหตุการณ์สำคัญมาเป็นหัวข้อในการโจมตี
นายนพชัย ตั้งไตรธรรม ที่ปรึกษาทางเทคนิค บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่นฯ เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มของอี-เมล์ขยะในช่วงปีที่ผ่านมาสูงถึง 87.5% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนในปี 2551 ลดลงไปถึง 65% สืบเนื่องมาจากการปิดให้บริการของ McColo ( คือการเปลี่ยนแปลงของแหล่งต้นทางสแปม) ในปี 2552 ก็เช่นกันสแปมเมอร์ยังคงใช้หัวข้อการโจมตีต้อนรับเทศกาลด้วยการโจมตีในรูปของขวัญและโปรโมชันต่างๆ ซึ่งสิ่งที่ ไซแมนเทค ยังคงเห็นอย่างต่อเนื่อง ก็คือการเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีด้วยวิธีการใหม่ เช่น อี-เมล์ขยะแฝงมัลแวร์ การใช้เหตุการณ์สำคัญมาเป็นหัวข้อในการโจมตี หรือการใช้รูปแบบการโจมตีแบบใหม่ที่มัลแวร์สามารถเปลี่ยนรูปเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของแอนตี้ไวรัสและแอนตี้สแปม คาดว่าปี 2553 ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต หรือองค์กรต่างๆ เตรียมความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามบนอินเตอร์เน็ตกันมากยิ่งขึ้น
สำหรับสภาพเศรษฐกิจหลังการโจมตีของอี-เมล์ขยะที่ปี 2553 จะเป็นปีของบรรดาสแปมเมอร์ จากการแพร่กระจายของอี-เมล์ขยะเริ่มต้นไปอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่ช่องทางการแพร่กระจายจะยังมีอยู่อย่างแพร่หลาย บ็อทเน็ตเริ่มต้นทำงานข้ามภูมิภาคและสแปมเมอร์คิดค้น พัฒนารูปแบบและช่องทางการโจมตีใหม่ๆ เพื่อพยายามผ่านการคัดกรองของโปรแกรมแอนตี้สแปม
นายนพชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ประเทศแหล่งกำเนิดอี-เมล์ขยะยังคงมาจากญี่ปุ่นเอเชีย-แปซิฟิกและอเมริกาใต้อย่างต่อเนื่องแต่สภาพของอี-เมล์ขยะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ส่วน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดอี-เมล์ขยะข้อมูลต่อไปนี้ค้นพบในเดือนพฤศจิกายน 2552 ประเทศในกลุ่มยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกาถูกแทนที่ด้วยประเทศในกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิกและญี่ปุ่นซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดอี-เมล์ขยะ โดยตอนนี้ถือสัดส่วนของอี-เมล์ขยะทั้งหมดอยู่ที่ 26% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นถึง 9% จากเดือนมิถุนายน 2552 ประเทศในกลุ่มอเมริกาใต้ถือสัดส่วนของอี-เมล์ขยะอยู่ที่ 25% ของอี-เมล์ขยะทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้น 8 % จากเดือนมิถุนายน 2552 และ 21% ของอี-เมล์ขยะทั้งหมดมีจุดกำเนิดมาจากประเทศในกลุ่มอเมริกาเหนือ ซึ่งจำนวนนี้แสดงให้เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้น 1% จากเดือนตุลาคม 2552 แต่เป็นการเพิ่มขึ้น 4% นับจากเดือนมิถุนายน 2552
สำหรับ ไซแมนเทค เป็นผู้ให้บริการด้านโซลูชันที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่องค์กร ทั้งในระดับเอ็นเตอร์ไพรส์และองค์กรส่วนบุคคลในเรื่องการใช้งานข้อมูลร่วมกัน รวมถึงความพร้อมในการเรียกใช้และความปลอดภัยของข้อมูล โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่คิวเปอร์ติโน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีศูนย์ปฏิบัติการอยู่กว่า 40 ประเทศ
ไซแมนเทค รายงานสถานการณ์อี-เมล์ขยะประจำเดือนธันวาคม 2552 เผยปีเสือตัวเลขเพิ่มสูงกว่า 95% เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีด้วยวิธีการใหม่ทั้งอี-เมล์ขยะแฝงมัลแวร์ การใช้เหตุการณ์สำคัญมาเป็นหัวข้อในการโจมตี
นายนพชัย ตั้งไตรธรรม ที่ปรึกษาทางเทคนิค บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่นฯ เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มของอี-เมล์ขยะในช่วงปีที่ผ่านมาสูงถึง 87.5% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนในปี 2551 ลดลงไปถึง 65% สืบเนื่องมาจากการปิดให้บริการของ McColo ( คือการเปลี่ยนแปลงของแหล่งต้นทางสแปม) ในปี 2552 ก็เช่นกันสแปมเมอร์ยังคงใช้หัวข้อการโจมตีต้อนรับเทศกาลด้วยการโจมตีในรูปของขวัญและโปรโมชันต่างๆ ซึ่งสิ่งที่ ไซแมนเทค ยังคงเห็นอย่างต่อเนื่อง ก็คือการเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีด้วยวิธีการใหม่ เช่น อี-เมล์ขยะแฝงมัลแวร์ การใช้เหตุการณ์สำคัญมาเป็นหัวข้อในการโจมตี หรือการใช้รูปแบบการโจมตีแบบใหม่ที่มัลแวร์สามารถเปลี่ยนรูปเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของแอนตี้ไวรัสและแอนตี้สแปม คาดว่าปี 2553 ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต หรือองค์กรต่างๆ เตรียมความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามบนอินเตอร์เน็ตกันมากยิ่งขึ้น
สำหรับสภาพเศรษฐกิจหลังการโจมตีของอี-เมล์ขยะที่ปี 2553 จะเป็นปีของบรรดาสแปมเมอร์ จากการแพร่กระจายของอี-เมล์ขยะเริ่มต้นไปอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่ช่องทางการแพร่กระจายจะยังมีอยู่อย่างแพร่หลาย บ็อทเน็ตเริ่มต้นทำงานข้ามภูมิภาคและสแปมเมอร์คิดค้น พัฒนารูปแบบและช่องทางการโจมตีใหม่ๆ เพื่อพยายามผ่านการคัดกรองของโปรแกรมแอนตี้สแปม
นายนพชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ประเทศแหล่งกำเนิดอี-เมล์ขยะยังคงมาจากญี่ปุ่นเอเชีย-แปซิฟิกและอเมริกาใต้อย่างต่อเนื่องแต่สภาพของอี-เมล์ขยะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ส่วน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดอี-เมล์ขยะข้อมูลต่อไปนี้ค้นพบในเดือนพฤศจิกายน 2552 ประเทศในกลุ่มยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกาถูกแทนที่ด้วยประเทศในกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิกและญี่ปุ่นซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดอี-เมล์ขยะ โดยตอนนี้ถือสัดส่วนของอี-เมล์ขยะทั้งหมดอยู่ที่ 26% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นถึง 9% จากเดือนมิถุนายน 2552 ประเทศในกลุ่มอเมริกาใต้ถือสัดส่วนของอี-เมล์ขยะอยู่ที่ 25% ของอี-เมล์ขยะทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้น 8 % จากเดือนมิถุนายน 2552 และ 21% ของอี-เมล์ขยะทั้งหมดมีจุดกำเนิดมาจากประเทศในกลุ่มอเมริกาเหนือ ซึ่งจำนวนนี้แสดงให้เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้น 1% จากเดือนตุลาคม 2552 แต่เป็นการเพิ่มขึ้น 4% นับจากเดือนมิถุนายน 2552
สำหรับ ไซแมนเทค เป็นผู้ให้บริการด้านโซลูชันที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่องค์กร ทั้งในระดับเอ็นเตอร์ไพรส์และองค์กรส่วนบุคคลในเรื่องการใช้งานข้อมูลร่วมกัน รวมถึงความพร้อมในการเรียกใช้และความปลอดภัยของข้อมูล โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่คิวเปอร์ติโน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีศูนย์ปฏิบัติการอยู่กว่า 40 ประเทศ
ข่าว IT วันนี้ 7 มกราคม 2553
ไมโครซอฟท์จับมือเอชพีเปิดตัวแท็บเล็ตพีซี
งาน คอนซูมเมอร์ อีเล็กโทรนิกส์ โชว์ ที่ลาสเวกัสช่วงสุดสัปดาห์นี้ แต่ละบริษัทยักษ์ใหญ่งัดสินค้ามาเปิดตัวชนกันอย่างเต็มที่โดยล่าสุด ไมโครซอฟท์เตรียมเปิดตัวแท็บเล็ตพีซีที่ร่วมผลิตโดยฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด..
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ว่า สตีฟ เบลล์เมอร์ ซีอีโอของไมโครซอฟท์บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลกเตรียมเปิดตัวคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ขนาดกระทัดรัดหรือแท็บเล็ตพีซี (tablet PC) ที่ผลิตโดยฮิวเล็ตต์-แพคการ์ดในงานคอนซูมเมอร์ อีเล็กโทรนิกส์ โชว์ 2010 ที่ลาสเวกัสช่วงสุดสัปดาห์นี้
แท็บเล็ตพีซีของไมโครซอฟท์ ถูกคาดหมายว่าจะเน้นลูกเล่นและฟังก์ชั่นที่หลากหลายทั้งในด้านมัลติมีเดีย, เครื่องอ่านหนังสือดิจิตอล และระบบรองรับการสัมผัสได้ทีละหลายๆ จุด หรือมัลติทัช โดยเชื่อว่า สตีฟ เบลล์เมอร์ ตั้งใจจะเอามาชนกับ แท็บเล็ตพีซี ของแอปเปิลโดยเฉพาะ.
งาน คอนซูมเมอร์ อีเล็กโทรนิกส์ โชว์ ที่ลาสเวกัสช่วงสุดสัปดาห์นี้ แต่ละบริษัทยักษ์ใหญ่งัดสินค้ามาเปิดตัวชนกันอย่างเต็มที่โดยล่าสุด ไมโครซอฟท์เตรียมเปิดตัวแท็บเล็ตพีซีที่ร่วมผลิตโดยฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด..
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ว่า สตีฟ เบลล์เมอร์ ซีอีโอของไมโครซอฟท์บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลกเตรียมเปิดตัวคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ขนาดกระทัดรัดหรือแท็บเล็ตพีซี (tablet PC) ที่ผลิตโดยฮิวเล็ตต์-แพคการ์ดในงานคอนซูมเมอร์ อีเล็กโทรนิกส์ โชว์ 2010 ที่ลาสเวกัสช่วงสุดสัปดาห์นี้
แท็บเล็ตพีซีของไมโครซอฟท์ ถูกคาดหมายว่าจะเน้นลูกเล่นและฟังก์ชั่นที่หลากหลายทั้งในด้านมัลติมีเดีย, เครื่องอ่านหนังสือดิจิตอล และระบบรองรับการสัมผัสได้ทีละหลายๆ จุด หรือมัลติทัช โดยเชื่อว่า สตีฟ เบลล์เมอร์ ตั้งใจจะเอามาชนกับ แท็บเล็ตพีซี ของแอปเปิลโดยเฉพาะ.
ข่าว IT วันนี้ 6 มกราคม 2553
ยอดมือถือเชื่อมเน็ตแซงหน้าพีซีใน 5 ปี
แนวโน้มการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต จะแซงหน้าการต่อผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ภายใน 5 ปี
รายงานข่าวจากมอร์แกน สแตนเลย์ กล่าวว่า แนวโน้มการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต จะแซงหน้าการต่อผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ภายใน 5 ปี
ทั้งนี้ ผลศึกษาคาดว่า ตลาดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (โมบาย อินเทอร์เน็ต) จะเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดมากกว่า 2 เท่าของการต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งมองว่าผลิตภัณฑ์จากค่ายแอ๊ปเปิ้ล อาจจะกลายเป็นสินค้าและบริการด้านเทคโนโลยี ที่สามารถก้าวขึ้นมาแซงหน้าเทคโนโลยีเดิมๆ ได้เร็วที่สุด เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เคยมีการเปิดตัวมา
พร้อมยกตัวอย่างว่า แอ๊ปเปิ้ล วางบทบาทตัวเองไว้บนสุด ที่จะเป็นผู้ครองส่วนแบ่งรายหลักในตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ โดยไม่เน้นว่าจะต้องเป็นผู้นำตลาดแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือระดับบน อย่างที่เคยเป็นในยุคต้นๆ ของการพัฒนาสินค้าคอมพิวเตอร์
รายงานของมอร์แกน สแตนเลย์ กล่าวว่า บริษัทเชื่อว่าแอ๊ปเปิ้ล ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการชิงส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคในตลาดไร้สาย และจะทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าทำได้ ซึ่งรวมไปถึงการลดราคาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ กดดันผู้ให้บริการเครือข่ายให้ปรับลด หรือแบ่งระดับแพ็คเกจค่าใช้บริการ ตลอดจนเพิ่มจำนวนผู้ให้บริการรายใหม่ๆ และพันธมิตรที่จะช่วยกระจายสินค้า
ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่าแอ๊ปเปิ้ลจะยังครองความเป็นผู้นำได้ในอีก 2-3 ปีนี้ จากฐานลูกค้ามือถือไอโฟน 57 ล้านราย จำนวนแอพพลิเคชั่นในคลังที่มีถึงแสนแอพพลิเคชั่น รวมถึงสมาชิกที่ลงทะเบียนไอทูนส์ไว้ราว 200 ล้านคน อย่างไรก็ตาม มองว่าแพลตฟอร์มมือถือแอนดรอยด์ของกูเกิล จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มาชิงตลาดของแอ๊ปเปิ้ลไป
รายงานดังกล่าว ระบุด้วยว่า โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน จะมียอดขายนำหน้าตลาดโน้ตบุ๊คและเน็ตบุ๊คทั่วโลกของปี 2553 และแซงหน้าตลาดพีซีทั่วโลกในปี 2555
ทั้งนี้ การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีปัจจัยขับเคลื่อนจาก พัฒนาการของเทคโนโลยี 3จี, เว็บไซต์เครือข่ายสังคม (โซเชียล เน็ตเวิร์ค), วีดิโอ, วอยซ์โอเวอร์ไอพี และนวัตกรรมของอุปกรณ์มือถือที่ล้ำหน้าขึ้นตลอดเวลา
ขณะที่ มีรายงานจากเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ ระบุว่า กูเกิล ได้เปิดตัวมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นแรก ภายใต้ชื่อแบรนด์ "Nexus One" ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และใช้โรงงานผลิตของเอชทีซีที่ไต้หวัน โดยมีกระแสข่าวระบุว่าจะมีราคาเครื่องราว 530 ดอลลาร์ และไม่ผูกติดกับผู้ให้บริการมือถือรายใด
แนวโน้มการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต จะแซงหน้าการต่อผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ภายใน 5 ปี
รายงานข่าวจากมอร์แกน สแตนเลย์ กล่าวว่า แนวโน้มการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต จะแซงหน้าการต่อผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ภายใน 5 ปี
ทั้งนี้ ผลศึกษาคาดว่า ตลาดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (โมบาย อินเทอร์เน็ต) จะเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดมากกว่า 2 เท่าของการต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งมองว่าผลิตภัณฑ์จากค่ายแอ๊ปเปิ้ล อาจจะกลายเป็นสินค้าและบริการด้านเทคโนโลยี ที่สามารถก้าวขึ้นมาแซงหน้าเทคโนโลยีเดิมๆ ได้เร็วที่สุด เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เคยมีการเปิดตัวมา
พร้อมยกตัวอย่างว่า แอ๊ปเปิ้ล วางบทบาทตัวเองไว้บนสุด ที่จะเป็นผู้ครองส่วนแบ่งรายหลักในตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ โดยไม่เน้นว่าจะต้องเป็นผู้นำตลาดแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือระดับบน อย่างที่เคยเป็นในยุคต้นๆ ของการพัฒนาสินค้าคอมพิวเตอร์
รายงานของมอร์แกน สแตนเลย์ กล่าวว่า บริษัทเชื่อว่าแอ๊ปเปิ้ล ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการชิงส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคในตลาดไร้สาย และจะทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าทำได้ ซึ่งรวมไปถึงการลดราคาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ กดดันผู้ให้บริการเครือข่ายให้ปรับลด หรือแบ่งระดับแพ็คเกจค่าใช้บริการ ตลอดจนเพิ่มจำนวนผู้ให้บริการรายใหม่ๆ และพันธมิตรที่จะช่วยกระจายสินค้า
ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่าแอ๊ปเปิ้ลจะยังครองความเป็นผู้นำได้ในอีก 2-3 ปีนี้ จากฐานลูกค้ามือถือไอโฟน 57 ล้านราย จำนวนแอพพลิเคชั่นในคลังที่มีถึงแสนแอพพลิเคชั่น รวมถึงสมาชิกที่ลงทะเบียนไอทูนส์ไว้ราว 200 ล้านคน อย่างไรก็ตาม มองว่าแพลตฟอร์มมือถือแอนดรอยด์ของกูเกิล จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มาชิงตลาดของแอ๊ปเปิ้ลไป
รายงานดังกล่าว ระบุด้วยว่า โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน จะมียอดขายนำหน้าตลาดโน้ตบุ๊คและเน็ตบุ๊คทั่วโลกของปี 2553 และแซงหน้าตลาดพีซีทั่วโลกในปี 2555
ทั้งนี้ การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีปัจจัยขับเคลื่อนจาก พัฒนาการของเทคโนโลยี 3จี, เว็บไซต์เครือข่ายสังคม (โซเชียล เน็ตเวิร์ค), วีดิโอ, วอยซ์โอเวอร์ไอพี และนวัตกรรมของอุปกรณ์มือถือที่ล้ำหน้าขึ้นตลอดเวลา
ขณะที่ มีรายงานจากเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ ระบุว่า กูเกิล ได้เปิดตัวมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นแรก ภายใต้ชื่อแบรนด์ "Nexus One" ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และใช้โรงงานผลิตของเอชทีซีที่ไต้หวัน โดยมีกระแสข่าวระบุว่าจะมีราคาเครื่องราว 530 ดอลลาร์ และไม่ผูกติดกับผู้ให้บริการมือถือรายใด
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553
ข่าวไอทีวันที่ 5 มกราคม 53
BIG CHANGE 5 ที่สุดแห่งปี
แบล็กเบอร์รี่ 3G ทวิตเตอร์ วินโดวส์ 7 และโน้ตบุ๊กบางเบา คือ 5 ที่สุดแห่งปีที่เป็น "BIG CHANGE" อย่างแท้จริง เพราะทั้งหมดไม่เฉพาะแต่เปลี่ยนแปลงตลาดครั้งใหญ่ครั้งใหม่กับการแจ้งเกิดในตลาดเมืองไทย แต่ยังเป็นการสร้างพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ให้กับผู้บริโภคด้วย และ 5 ที่สุดแห่งปี 2552 จะส่งผลต่อเนื่องในปี 2553 อย่างแน่นอน และจะอิมแพกต์มากขึ้นขนาดไหนเป็นสิ่งที่จะต้องติดตาม
BB ฟีเวอร์
ไม่มีไม่ได้แล้ว
กระแสของแบล็กเบอร์รี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า "บีบี" ไปแล้วทั้งบ้านทั้งเมือง กำลังกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ทุกคนอยากลองใช้ ลองสัมผัส หลังจากที่เจ้าบีบีก่อกระแสจากกลุ่มดารา ไฮโซ จนเป็นภาพที่เราเห็นกันชินตากับพฤติกรรมการนั่งพิมพ์ยืนพิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดแป้นพิมพ์ เพื่อแชต อีเมล และการเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก กลายเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ทุกคนอยากเป็นหนึ่งในแฟนคลับผู้ใช้บีบี
แม้ว่าบีบีจะมีให้เลือกไม่หลากหลายรุ่นนัก แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้บีบีที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น รุ่นเคิร์ฟ รุ่นโบลด์ และรุ่นสตรอมที่เป็นทัชสกรีน ยิ่งช่วงปลายปี 2552 บีบีต้องการขยายฐานผู้ใช้บีบีในเมืองไทยให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัวเคิร์ฟ 8520 ที่มีราคาระดับหมื่นต้นๆ จุดนี้เองทำให้กระแสการใช้งานบีบียิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ "ดีแทค" ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับสองของเมืองไทย กระโดดลงมาเล่นในตลาดบีบีต่อจากเอไอเอส และทรูมูฟ ภาพการแข่งขันช่วงชิงผู้ใช้บริการบีบีจากฟากฝั่งโอเปอเรเตอร์จึงเข้มข้นกลายเป็นสงครามสามก๊กรอบใหม่ที่ระอุขึ้น
การเข้าสู่การให้บริการบีบีหลังเพื่อนรายอื่นของดีแทค มาพร้อมกับความใหม่สดในจุดขายที่ว่า "เร็วกว่า คุ้มกว่า ขาวกว่า" ดีแทคโชว์ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เคลมว่าเร็วที่สุด ส่วนเรื่องของความคุ้มค่านั้นมาจากโปรโมชั่นการเปิดตัวบริการบีบี ที่มีการทำราคาต่ำกว่าคู่แข่ง และมีการสร้างแพกเกจใช้งานที่ผนวกเรื่องค่าโทร.เข้าไปด้วย
แต่ที่เป็นกระแสอย่างแท้จริงน่าจะมาจากการที่ดีแทคได้นำบีบีรุ่นเคิร์ฟ 8520 สีขาว เข้ามาทำตลาดก่อนเอไอเอสและทรูมูฟ เนื่องจากที่ผ่านมาบีบีจะเน้นโทนสีเข้มที่เป็นสีดำ กระแสของเครื่องสีขาวได้ดึงดูดทั้งผู้ที่ใช้งานบีบีอยู่แล้วและผู้ที่ยังไม่เคยใช้ให้มาเป็นเจ้าของ แน่นอนว่าต้องกระทบกับทั้งเอไอเอสและทรูมูฟอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทั้งเอไอเอสและทรูมูฟต่างก็มีจุดขายและการทำตลาดที่นานกว่าดีแทค ความได้เปรียบย่อมมีมากกว่า โดยเอไอเอสถือได้ว่ามีความครบเครื่องบริการบีบีในทุกๆ ด้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังกวาดต้อนบรรดาดารา ไฮโซเกรดเออัดแน่นอยู่เต็มค่าย ส่วนทรูมูฟก็มีการขยับเตรียมทำตลาดบีบีอย่างหนักในปี 2553 และพยายามสร้างจุดแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น
วันนี้จึงบอกได้ว่าบีบีเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมการใช้งานที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในสังคมผู้บริโภค ที่สำคัญยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดโดยเฉพาะความดุเดือดในการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีส่วนผลักดันให้ตลาดสมาร์ทโฟนเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วย
3G เริ่มแล้ว
นับวันยิ่งเข้มข้น
แม้ว่า "3G" ในฟากฝั่งเอกชนที่รอการประมูลใบไลเซนส์จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมจะยังไม่เกิด แต่ทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ก็ยังคงเดินหน้าที่จะพัฒนาการให้บริการ 3G บนโครงข่ายเดิมไปก่อน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าน่าจะได้เห็นบรรดาเอกชนให้บริการ 3G แบบเต็มตัวในต้นปี 2554
อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปี 2552 ทีโอที คอร์ปอเรชั่น ได้ฤกษ์เปิดตัว "TOT 3G" ให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลบางพื้นที่ จึงถือเป็นการปักธง 3G ครั้งแรกในประเทศไทย และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการโทรคมนาคมไทย
จุดเด่นของการสื่อสารในยุค 3G อยู่ที่การรองรับการใช้บริการแบบดาต้าได้อย่างเต็มรูปแบบ จุดนี้เองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการใช้งาน ผู้ใช้มือถือสามารถมองเห็นหน้าซึ่งกันและกันผ่านทางวิดีโอคอลล์ เป็นต้น
และการเริ่มต้นของ 3G ของทีโอทีในครั้งนี้ ยังสร้างรูปแบบทางการตลาดแบบใหม่ให้เกิดขึ้นด้วย MVNO (Mobile Visual Network Operator) ซึ่งปัจจุบันมี 5 ราย ได้แก่ กลุ่มสามารถ ไอ-โมบาย ที่บริการภายใต้แบรนด์ i-mobile 3G กลุ่มล็อกซเล่ย์ ภายใต้แบรนด์ i-KooL 3G กลุ่มไออีซี ภายใต้แบรนด์ IEC 3G กลุ่มเอ็ม คอนซัลต์ ภายใต้แบรนด์ MOJO 3G และบริษัท 365 ภายใต้แบรนด์ 365
MVNO ทั้ง 5 รายนี้เสมือนแม่ทัพการตลาดที่จะวางรูปแบบการตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างกระแสให้กับ 3G โดยแต่ละรายต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป จุดนี้ต้องรอพิสูจน์ว่าโมเดลธุรกิจไหนจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่ากัน
อีกด้านหนึ่งกับการเกิดขึ้นของบริการ 3G คือความคึกคักของบรรดาค่ายผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่เตรียมพร้อมทำตลาดมือถือ 3G มากยิ่งขึ้นในช่วงปี 2553 หลังจากที่ผ่านมามีการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่มีฟีเจอร์ 3G มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความนิยมการใช้งานสมาร์ทโฟนจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นหากมีการขยายพื้นที่การให้บริการ 3G แบบครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคต
นอกจากนี้บริการ 3G ยังเป็นการลบปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ไม่มีสายให้บริการ จุดนี้จะทำให้เกิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้สายกระจายไปทั่วประเทศอีกด้วย
กระแสทวิตเตอร์
คนไทยติดอันดับโลก
ต้องยอมรับว่ากระแสของ "โซเชียลเน็ตเวิร์ก" นั้นเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในปี 2552 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ทวิตเตอร์" ที่นิยมใช้งานไปทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าช่วงแรกที่คนในประเทศรู้จักและเริ่มที่จะสนใจการใช้งานทวิตเตอร์ มาจากการที่การเมืองนำมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารติดต่อกับกลุ่มที่ติดตามตนเอง โดยมีกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำทวิตเตอร์มาให้เป็นสื่อหนึ่งจนถึงปัจจุบันนี้
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยคลั่งทวิตเตอร์ขนาดไหน เห็นได้ชัดจากเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำว่า "WeLoveKing" ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของ Trending Topics หรือหัวข้อสนทนายอดนิยมของโลกได้
แน่นอนว่าในอนาคตการใช้งานทวิตเตอร์และเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กจะยิ่งกว้างขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนได้มาก รองรับการใช้งานของคนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น และจะมีฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่นฟังก์ชั่นการแปลภาษาอัตโนมัติ ทำให้เกิดการสื่อสารข้ามเชื้อชาติได้ง่ายยิ่งขึ้น
เมื่อทวิตเตอร์และโซเชียลเน็ตเวิร์กมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ภาคธุรกิจต่างๆ ก็เล็งเห็นและเข้ามาเกาะกระแสที่เกิดขึ้น เพราะสามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานอายุระหว่าง 25-40 ปี จะใช้ช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กมากที่สุด
กลยุทธ์ที่ธุรกิจจะอาศัยกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น ควรใช้การกระตุ้นหรือมีกลยุทธ์ที่ให้คนที่มีอิทธิพล (Influencer) พูดถึงสินค้า หรือแบรนด์ แทนเจ้าของแบรนด์นั้นๆ เนื่องจากจะสร้างความสนใจได้มากกว่า และจะพูดถึงแบรนด์หรือสินค้านั้นต่อๆ ไปเอง
ปรากฏการณ์เลข 7
เปลี่ยนเครื่องพีซีทั่วโลก
หลังจากที่ไมโครซอฟท์สะดุดขาตัวเองจากไมโครซอฟท์ วินโดวส์ วิสต้า การเปิดตัวระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ 7 จึงเกิดมาเพื่อลบข้อจำกัดและความบกพร่องที่เกิดขึ้นในวิสต้า
ไมโครซอฟท์ยืนยันว่า วินโดวส์ 7 จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ชีวิตประจำวันง่ายยิ่งขึ้น ส่วนองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วินโดวส์ 7 นับเป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดทั้งสำหรับการทำงานและใช้งานส่วนตัว และด้วยวินโดวส์ 7 โปรเฟสชันนัล สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ วินโดวส์ 7 พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ มีการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยมากขึ้น มีการควบคุมในการลดความเสี่ยง จัดการการใช้งานให้ง่ายยิ่งขึ้นและช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ
ไมโครซอฟท์ตั้งใจว่าการมาของวินโดวส์ 7 จะต้องเปลี่ยนแปลงเครื่องพีซีทั่วโลกให้มาใช้งานระบบปฏิบัติการตัวใหม่นี้ รวมถึงคนที่ใช้งานวินโดวส์เอ็กซ์พีที่ใช้กันมากว่า 7-8 ปีแล้วด้วย
ด้านค่ายผู้ผลิตคอมพิวเตอร์นั้นเชื่อว่าวินโดวส์ 7 จะพลิกโฉมหน้าให้กับวงการคอมพิวเตอร์ด้วย อย่างเดสก์ทอปที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีมัลติทัชสกรีน หรือลูกเล่นที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่นี้จะช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น รองรับการใช้งานได้ทั้งมัลติมีเดียและการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ
ที่สำคัญที่ผ่านมาหลายองค์กรจะกลัวว่าการย้ายระบบไปยังระบบปฏิบัติการตัวใหม่จะเป็นเรื่องยากและเสียเวลา แต่การอัปเกรดมาใช้วินโดวส์ 7 เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
โน้ตบุ๊กบางสุดๆ แบตอึด
ผลพวงจากชิปอินเทล
ช่วงปี 2551 กระแสของ "เน็ตบุ๊ก" ได้กลายเป็นพระเอกให้กับวงการคอมพิวเตอร์ แต่สำหรับปี 2552 และปี 2553 นี้ โน้ตบุ๊กบางเฉียบ เบาสุดๆ แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวทั้งวันคือพระเอกตัวจริงของวงการนี้
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เอเซอร์ร่วมกับอินเทล เปิดตัวเอเซอร์ แอสไปร์ ไทม์ไลน์ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์อินเทล คอร์ 2 ดูโอ แบบอัลตร้า โลว์ โวลเทจ ทำให้เกิดโน้ตบุ๊กเซกเมนต์ใหม่ที่มีความบางเบาเป็นพิเศษ ที่สำคัญโน้ตบุ๊กนั้นสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานต่อเนื่องกว่า 8 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ทั้งในเรื่องของนวัตกรรมและการดีไซน์
ทั้งนี้ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับดีไซน์บางเฉียบ และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานมาก ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบัน ในด้านความคล่องตัวและการพกพาสะดวกมากขึ้น จากการที่อินเทลสามารถพัฒนาโปรเซสเซอร์รุ่นนี้ให้มีขนาดเล็กลง 58% ทำให้โน้ตบุ๊กที่ใช้โปรเซสเซอร์รุ่นนี้สามารถออกแบบให้มีขนาดบางและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ประกอบกับอินเทล ลามินาร์ วอลล์ เจต เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยลดความร้อนของคอมพิวเตอร์ และยังช่วยแต่งเติมลูกเล่นในเรื่องของการดีไซน์ให้เก๋ไก๋และทันสมัยมากขึ้น
หลังจากที่เอเซอร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว ค่ายคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ ได้ทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นกระแสความนิยมใช้งานในหมู่ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้ประกอบการชี้ว่าโน้ตบุ๊กในเซกเมนต์นี้จะเป็นเรือธงในปี 2553 ด้วย เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก
และนี่คือ 5 ที่สุดแห่งปีของไอทีและเทเลคอมไทย ที่จะมีผลอย่างแน่นอนในปี 2553 นี้ และต้องคอยจับตาดูว่าจะมีผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อมาแข่งรัศมีของทั้ง 5 ได้หรือไม่ หรือทั้ง 5 นี้จะยิ่งกลายเป็นพระเอกที่ฉายแววโดดเด่นต่ออีก 1 ปี
แบล็กเบอร์รี่ 3G ทวิตเตอร์ วินโดวส์ 7 และโน้ตบุ๊กบางเบา คือ 5 ที่สุดแห่งปีที่เป็น "BIG CHANGE" อย่างแท้จริง เพราะทั้งหมดไม่เฉพาะแต่เปลี่ยนแปลงตลาดครั้งใหญ่ครั้งใหม่กับการแจ้งเกิดในตลาดเมืองไทย แต่ยังเป็นการสร้างพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ให้กับผู้บริโภคด้วย และ 5 ที่สุดแห่งปี 2552 จะส่งผลต่อเนื่องในปี 2553 อย่างแน่นอน และจะอิมแพกต์มากขึ้นขนาดไหนเป็นสิ่งที่จะต้องติดตาม
BB ฟีเวอร์
ไม่มีไม่ได้แล้ว
กระแสของแบล็กเบอร์รี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า "บีบี" ไปแล้วทั้งบ้านทั้งเมือง กำลังกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ทุกคนอยากลองใช้ ลองสัมผัส หลังจากที่เจ้าบีบีก่อกระแสจากกลุ่มดารา ไฮโซ จนเป็นภาพที่เราเห็นกันชินตากับพฤติกรรมการนั่งพิมพ์ยืนพิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดแป้นพิมพ์ เพื่อแชต อีเมล และการเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก กลายเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ทุกคนอยากเป็นหนึ่งในแฟนคลับผู้ใช้บีบี
แม้ว่าบีบีจะมีให้เลือกไม่หลากหลายรุ่นนัก แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้บีบีที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น รุ่นเคิร์ฟ รุ่นโบลด์ และรุ่นสตรอมที่เป็นทัชสกรีน ยิ่งช่วงปลายปี 2552 บีบีต้องการขยายฐานผู้ใช้บีบีในเมืองไทยให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัวเคิร์ฟ 8520 ที่มีราคาระดับหมื่นต้นๆ จุดนี้เองทำให้กระแสการใช้งานบีบียิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ "ดีแทค" ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับสองของเมืองไทย กระโดดลงมาเล่นในตลาดบีบีต่อจากเอไอเอส และทรูมูฟ ภาพการแข่งขันช่วงชิงผู้ใช้บริการบีบีจากฟากฝั่งโอเปอเรเตอร์จึงเข้มข้นกลายเป็นสงครามสามก๊กรอบใหม่ที่ระอุขึ้น
การเข้าสู่การให้บริการบีบีหลังเพื่อนรายอื่นของดีแทค มาพร้อมกับความใหม่สดในจุดขายที่ว่า "เร็วกว่า คุ้มกว่า ขาวกว่า" ดีแทคโชว์ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เคลมว่าเร็วที่สุด ส่วนเรื่องของความคุ้มค่านั้นมาจากโปรโมชั่นการเปิดตัวบริการบีบี ที่มีการทำราคาต่ำกว่าคู่แข่ง และมีการสร้างแพกเกจใช้งานที่ผนวกเรื่องค่าโทร.เข้าไปด้วย
แต่ที่เป็นกระแสอย่างแท้จริงน่าจะมาจากการที่ดีแทคได้นำบีบีรุ่นเคิร์ฟ 8520 สีขาว เข้ามาทำตลาดก่อนเอไอเอสและทรูมูฟ เนื่องจากที่ผ่านมาบีบีจะเน้นโทนสีเข้มที่เป็นสีดำ กระแสของเครื่องสีขาวได้ดึงดูดทั้งผู้ที่ใช้งานบีบีอยู่แล้วและผู้ที่ยังไม่เคยใช้ให้มาเป็นเจ้าของ แน่นอนว่าต้องกระทบกับทั้งเอไอเอสและทรูมูฟอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทั้งเอไอเอสและทรูมูฟต่างก็มีจุดขายและการทำตลาดที่นานกว่าดีแทค ความได้เปรียบย่อมมีมากกว่า โดยเอไอเอสถือได้ว่ามีความครบเครื่องบริการบีบีในทุกๆ ด้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังกวาดต้อนบรรดาดารา ไฮโซเกรดเออัดแน่นอยู่เต็มค่าย ส่วนทรูมูฟก็มีการขยับเตรียมทำตลาดบีบีอย่างหนักในปี 2553 และพยายามสร้างจุดแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น
วันนี้จึงบอกได้ว่าบีบีเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมการใช้งานที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในสังคมผู้บริโภค ที่สำคัญยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดโดยเฉพาะความดุเดือดในการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีส่วนผลักดันให้ตลาดสมาร์ทโฟนเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วย
3G เริ่มแล้ว
นับวันยิ่งเข้มข้น
แม้ว่า "3G" ในฟากฝั่งเอกชนที่รอการประมูลใบไลเซนส์จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมจะยังไม่เกิด แต่ทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ก็ยังคงเดินหน้าที่จะพัฒนาการให้บริการ 3G บนโครงข่ายเดิมไปก่อน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าน่าจะได้เห็นบรรดาเอกชนให้บริการ 3G แบบเต็มตัวในต้นปี 2554
อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปี 2552 ทีโอที คอร์ปอเรชั่น ได้ฤกษ์เปิดตัว "TOT 3G" ให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลบางพื้นที่ จึงถือเป็นการปักธง 3G ครั้งแรกในประเทศไทย และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการโทรคมนาคมไทย
จุดเด่นของการสื่อสารในยุค 3G อยู่ที่การรองรับการใช้บริการแบบดาต้าได้อย่างเต็มรูปแบบ จุดนี้เองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการใช้งาน ผู้ใช้มือถือสามารถมองเห็นหน้าซึ่งกันและกันผ่านทางวิดีโอคอลล์ เป็นต้น
และการเริ่มต้นของ 3G ของทีโอทีในครั้งนี้ ยังสร้างรูปแบบทางการตลาดแบบใหม่ให้เกิดขึ้นด้วย MVNO (Mobile Visual Network Operator) ซึ่งปัจจุบันมี 5 ราย ได้แก่ กลุ่มสามารถ ไอ-โมบาย ที่บริการภายใต้แบรนด์ i-mobile 3G กลุ่มล็อกซเล่ย์ ภายใต้แบรนด์ i-KooL 3G กลุ่มไออีซี ภายใต้แบรนด์ IEC 3G กลุ่มเอ็ม คอนซัลต์ ภายใต้แบรนด์ MOJO 3G และบริษัท 365 ภายใต้แบรนด์ 365
MVNO ทั้ง 5 รายนี้เสมือนแม่ทัพการตลาดที่จะวางรูปแบบการตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างกระแสให้กับ 3G โดยแต่ละรายต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป จุดนี้ต้องรอพิสูจน์ว่าโมเดลธุรกิจไหนจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่ากัน
อีกด้านหนึ่งกับการเกิดขึ้นของบริการ 3G คือความคึกคักของบรรดาค่ายผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่เตรียมพร้อมทำตลาดมือถือ 3G มากยิ่งขึ้นในช่วงปี 2553 หลังจากที่ผ่านมามีการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่มีฟีเจอร์ 3G มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความนิยมการใช้งานสมาร์ทโฟนจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นหากมีการขยายพื้นที่การให้บริการ 3G แบบครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคต
นอกจากนี้บริการ 3G ยังเป็นการลบปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ไม่มีสายให้บริการ จุดนี้จะทำให้เกิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้สายกระจายไปทั่วประเทศอีกด้วย
กระแสทวิตเตอร์
คนไทยติดอันดับโลก
ต้องยอมรับว่ากระแสของ "โซเชียลเน็ตเวิร์ก" นั้นเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในปี 2552 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ทวิตเตอร์" ที่นิยมใช้งานไปทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าช่วงแรกที่คนในประเทศรู้จักและเริ่มที่จะสนใจการใช้งานทวิตเตอร์ มาจากการที่การเมืองนำมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารติดต่อกับกลุ่มที่ติดตามตนเอง โดยมีกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำทวิตเตอร์มาให้เป็นสื่อหนึ่งจนถึงปัจจุบันนี้
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยคลั่งทวิตเตอร์ขนาดไหน เห็นได้ชัดจากเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำว่า "WeLoveKing" ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของ Trending Topics หรือหัวข้อสนทนายอดนิยมของโลกได้
แน่นอนว่าในอนาคตการใช้งานทวิตเตอร์และเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กจะยิ่งกว้างขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนได้มาก รองรับการใช้งานของคนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น และจะมีฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่นฟังก์ชั่นการแปลภาษาอัตโนมัติ ทำให้เกิดการสื่อสารข้ามเชื้อชาติได้ง่ายยิ่งขึ้น
เมื่อทวิตเตอร์และโซเชียลเน็ตเวิร์กมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ภาคธุรกิจต่างๆ ก็เล็งเห็นและเข้ามาเกาะกระแสที่เกิดขึ้น เพราะสามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานอายุระหว่าง 25-40 ปี จะใช้ช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กมากที่สุด
กลยุทธ์ที่ธุรกิจจะอาศัยกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น ควรใช้การกระตุ้นหรือมีกลยุทธ์ที่ให้คนที่มีอิทธิพล (Influencer) พูดถึงสินค้า หรือแบรนด์ แทนเจ้าของแบรนด์นั้นๆ เนื่องจากจะสร้างความสนใจได้มากกว่า และจะพูดถึงแบรนด์หรือสินค้านั้นต่อๆ ไปเอง
ปรากฏการณ์เลข 7
เปลี่ยนเครื่องพีซีทั่วโลก
หลังจากที่ไมโครซอฟท์สะดุดขาตัวเองจากไมโครซอฟท์ วินโดวส์ วิสต้า การเปิดตัวระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ 7 จึงเกิดมาเพื่อลบข้อจำกัดและความบกพร่องที่เกิดขึ้นในวิสต้า
ไมโครซอฟท์ยืนยันว่า วินโดวส์ 7 จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เชื่อถือได้ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ชีวิตประจำวันง่ายยิ่งขึ้น ส่วนองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วินโดวส์ 7 นับเป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดทั้งสำหรับการทำงานและใช้งานส่วนตัว และด้วยวินโดวส์ 7 โปรเฟสชันนัล สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ วินโดวส์ 7 พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ มีการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยมากขึ้น มีการควบคุมในการลดความเสี่ยง จัดการการใช้งานให้ง่ายยิ่งขึ้นและช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ
ไมโครซอฟท์ตั้งใจว่าการมาของวินโดวส์ 7 จะต้องเปลี่ยนแปลงเครื่องพีซีทั่วโลกให้มาใช้งานระบบปฏิบัติการตัวใหม่นี้ รวมถึงคนที่ใช้งานวินโดวส์เอ็กซ์พีที่ใช้กันมากว่า 7-8 ปีแล้วด้วย
ด้านค่ายผู้ผลิตคอมพิวเตอร์นั้นเชื่อว่าวินโดวส์ 7 จะพลิกโฉมหน้าให้กับวงการคอมพิวเตอร์ด้วย อย่างเดสก์ทอปที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีมัลติทัชสกรีน หรือลูกเล่นที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่นี้จะช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น รองรับการใช้งานได้ทั้งมัลติมีเดียและการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ
ที่สำคัญที่ผ่านมาหลายองค์กรจะกลัวว่าการย้ายระบบไปยังระบบปฏิบัติการตัวใหม่จะเป็นเรื่องยากและเสียเวลา แต่การอัปเกรดมาใช้วินโดวส์ 7 เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
โน้ตบุ๊กบางสุดๆ แบตอึด
ผลพวงจากชิปอินเทล
ช่วงปี 2551 กระแสของ "เน็ตบุ๊ก" ได้กลายเป็นพระเอกให้กับวงการคอมพิวเตอร์ แต่สำหรับปี 2552 และปี 2553 นี้ โน้ตบุ๊กบางเฉียบ เบาสุดๆ แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวทั้งวันคือพระเอกตัวจริงของวงการนี้
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เอเซอร์ร่วมกับอินเทล เปิดตัวเอเซอร์ แอสไปร์ ไทม์ไลน์ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์อินเทล คอร์ 2 ดูโอ แบบอัลตร้า โลว์ โวลเทจ ทำให้เกิดโน้ตบุ๊กเซกเมนต์ใหม่ที่มีความบางเบาเป็นพิเศษ ที่สำคัญโน้ตบุ๊กนั้นสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานต่อเนื่องกว่า 8 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ทั้งในเรื่องของนวัตกรรมและการดีไซน์
ทั้งนี้ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับดีไซน์บางเฉียบ และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานมาก ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบัน ในด้านความคล่องตัวและการพกพาสะดวกมากขึ้น จากการที่อินเทลสามารถพัฒนาโปรเซสเซอร์รุ่นนี้ให้มีขนาดเล็กลง 58% ทำให้โน้ตบุ๊กที่ใช้โปรเซสเซอร์รุ่นนี้สามารถออกแบบให้มีขนาดบางและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ประกอบกับอินเทล ลามินาร์ วอลล์ เจต เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยลดความร้อนของคอมพิวเตอร์ และยังช่วยแต่งเติมลูกเล่นในเรื่องของการดีไซน์ให้เก๋ไก๋และทันสมัยมากขึ้น
หลังจากที่เอเซอร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าว ค่ายคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ ได้ทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นกระแสความนิยมใช้งานในหมู่ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้ประกอบการชี้ว่าโน้ตบุ๊กในเซกเมนต์นี้จะเป็นเรือธงในปี 2553 ด้วย เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก
และนี่คือ 5 ที่สุดแห่งปีของไอทีและเทเลคอมไทย ที่จะมีผลอย่างแน่นอนในปี 2553 นี้ และต้องคอยจับตาดูว่าจะมีผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อมาแข่งรัศมีของทั้ง 5 ได้หรือไม่ หรือทั้ง 5 นี้จะยิ่งกลายเป็นพระเอกที่ฉายแววโดดเด่นต่ออีก 1 ปี
ข่าวไอทีวันที่ 4 มกราคม 53
10 เทรนด์ไอทีปี 2010
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่จะถูกหยิบยกมาพูดถึงในบทความนี้ไม่ใช่ Fash หรือแฟชั่นไอทีที่มาแล้วก็ไป แต่จะเป็น Trend ว่าทิศทางไอทีใดบ้างที่ผู้บริโภคจะได้เห็นในปี 2010 ซึ่งจากการประมวลแล้วพบว่าเทรนด์ที่รวบรวมมาได้นั้นสอดคล้องกันทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าสงครามไอทีปีเสือจะดุเดือดมากขึ้น จนเชื่อว่าจะทำให้ตลาดไอทีโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบมโหฬาร
คำถามว่า ปี 2010 ยูสเซอร์จะต้องพบเจออะไรบ้าง หนึ่งหนีไม่พ้น"คลื่นเน็ตบุ๊ก"ในทะเลพีซีที่เชื่อว่ายังไม่ตายง่ายๆ สองคือ"พายุแทปเล็ต"พีซีหน้าจอสัมผัสไร้คีย์บอร์ดที่ถูกมองว่าจะเป็นดาวรุ่ง พุ่งแรงแซงใครๆ สามคือ"กระแสเครื่องอ่านอีบุ๊ก"ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะโลกกระดาษนั้นเคลื่อนตัวเข้าสู่โลกดิจิตอลแล้ว สี่คือ"มนต์สะกดวินโดวส์ 7 และออฟฟิศ 2010" จากไมโครซอฟท์ที่เชื่อว่าจะสามารถสะกดคนทั้งโลกได้มากขึ้น
ห้าคือ"อาณาจักรทีวีเจนใหม่"ที่กล้าติดชิปคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน บนเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าทีวีจะแฮงก์เหมือนคอมพิวเตอร์ หกคือ"อหังการเครือข่ายสังคม"ซึ่งทุกสำนักฟันธงว่าโซเชีย ลเน็ตเวิร์กกิงในปีหน้าจะเติบโตขึ้นอีก
เจ็ดคือ"ทอร์นาโดไฮสปีด"เชื่อว่าผู้ใช้บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วในปี 2010 ซึ่งเท่ากับผู้ใช้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มากขึ้นด้วย แปดคือ"สมาร์ทโฟนคำราม"เพราะเสียงคำรามกู่ร้องในสนามรบระหว่างไอโฟน-แบล็กเบอรี่-แอนดรอยด์ในปี 2010 จะดังกึกก้องจนสะเทือนไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เทรนด์ที่เก้าและสิบนั้นต้องบอกว่า"ยังไม่กล้าฟันธง" ได้แก่ "ทรีจี-ไวแมกซ์"ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนว่าจะเป็นรูปเป็นร่างอย่างไรในประเทศไทย รวมถึง"โลกใหม่เอ็มคอมเมิร์ซ"ที่จะยังต้องรอความชัดเจนอยู่
*****1. คลื่นเน็ตบุ๊กยังซัด
ปีที่ผ่านมาคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กหรือพีซีพกพาตัวเล็กราคาประหยัด สามารถเติบโตได้เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปี 2010 ตลาดเน็ตบุ๊กก็จะยังเติบโตอยู่ แต่อาจไม่โตอู้ฟู้เพราะมีคู่แข่ง
สิ่งที่ชี้ว่าเน็ตบุ๊กจะยังเติบโตต่อไปคือการที่อินเทลเปิดตัวชิป Atom รุ่นใหม่นาม n450 ทำให้เน็ตบุ๊กมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถรองรับภาพยนตร์ความละเอียดสูงหรือ HD ได้แต่ยังไม่เต็มขั้น มีขนาดบางลง ในราคาสบายกระเป๋า แต่สิ่งที่ชี้ว่าคลื่นเน็ตบุ๊กจะไม่ซัดแรงจนเติบโตอู้ฟู้คืออินเทลนั้นระบุ ว่า ชิป n450 นั้นไม่ได้ผลิตมาสำหรับเน็ตบุ๊กอย่างเดียว แต่สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปอื่นๆได้ด้วย ทำให้แล็ปท็อปรุ่นอื่นสามารถหั่นราคาลงเพื่อแข่งกับเน็ตบุ๊กได้อย่างถึงพริก ถึงขิง
สำหรับตลาดคอมพิวเตอร์ประหยัดพลังงานพิเศษหรือ CULV เชื่อว่าจะเติบโตไม่รุนแรงในปี 2010 เพราะผู้ผลิตพีซีจะกดราคาเน็ตบุ๊กลงมาแย่งตลาด โดย CULV อาจครองส่วนแบ่งได้ 30% ในปีเสือ
อีกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีเสือ คือผู้บริโภคจะสับสนเรื่องสายผลิตภัณฑ์พีซีพกพามากขึ้นอีก เนื่องจากการกำเนิดของ"สมาร์ทบุ๊ก (Smartbook)" คอมพิวเตอร์ตัวเล็กเท่าเน็ตบุ๊ก (หน้าจอไม่เกิน 10 นิ้ว) แต่ใช้ชิป ARM ซึ่งนิยมใช้ในสมาร์ทโฟน รองรับไว-ไฟและ3G ต่ออินเทอร์เน็ตได้ บนราคาที่ถูกกว่าเน็ตบุ๊ก
สรุปแล้ว จากภาพที่มองว่าเน็ตบุ๊กใกล้จะสิ้นชีพในปีนี้ แท้จริงแล้วยังไม่แน่นอน เพราะต้องลุ้นผลการต่อสู้ระหว่างเน็ตบุ๊กกับโน้ตบุ๊ก CULV สมาร์ทบุ๊ก สมาร์ทโฟน และที่สำคัญคือ คอมพิวเตอร์แทปเล็ตที่เชื่อว่าจะเป็นกระแสแรงมากในปี 2010
****2. พายุแทปเล็ต
แทปเล็ตพีซีคือคอมพิวเตอร์พกพาที่หักฝาพับหน้าจอออกไป แล้วนำหน้าจอสัมผัสมาติดไว้ที่แทนคีย์บอร์ด น้ำหนักเบา หน้าจอราว 7-10 นิ้ว ขณะนี้สินค้ากลุ่มแทปเล็ตพีซีเริ่มออกมาวางจำหน่ายอย่างจริงจังแล้ว และได้รับกระแสตอบรับมากมาย
ทั้งหมดนี้ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าพีซีพกพาแต่ละชนิดจะโรมรันแข่งขันอย่างหนักในปี 2010 แต่ประเด็นที่จะยังเป็นคำถามสำหรับแทปเล็ตพีซีคือความเชื่อว่า ผู้บริโภคยังไม่ต้องการแทปเล็ตพีซี เพราะประสิทธิภาพที่ไม่หนีจาก CULV เครื่องอ่านอีบุ๊ก และเน็ตบุ๊ก แถมราคาก็ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันไม่ได้
****3. กระแสเครื่องอ่านอีบุ๊ก
ปี 2010 ถูกมองว่าจะเป็นปีแห่งสงครามดิสเพลย์ หนึ่งในผู้ร่วมชิงชัยคือเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีรีดเดอร์ (eReader) เชื่อว่ายอดขายอีรีดเดอร์จะทะลุ 6 ล้านเครื่องในปี 2010 บนฝีมือการผลิตของบริษัทไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์ แต่ละแบรนด์มีจำนวนมากกว่า 1 รุ่น
จุดเด่นของอีรีดเดอร์นั้นอยู่ที่การประหยัดพลังงาน เหมาะกับการแสดงผลตำรา อ่านง่าย รองรับไฟล์เอกสารได้หลากหลาย ล่าสุด มีรายงานว่าโรงงานผลิตหน้าจอในประเทศไต้หวันลงมือผลิตจออีอิงค์ชนิดใหม่ที่ มีราคาถูกลง ทำให้เชื่อว่าอุปกรณ์อีรีดเดอร์ทั้งหลายจะมีราคา 99 เหรียญในปีหน้า จากที่ปัจจุบันมีราคาราว 259 เหรียญ
อย่างไรก็ตาม อีรีดเดอร์นั้นมีความสามารถที่จำกัด ค้านกับคำพูดของเจ้าพ่อสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอแอปเปิลที่บอกว่าอุปกรณ์ไอทีต้องทำได้หลายอย่าง ทำให้อนาคตของอีรีดเดอร์ยังมีภาพหมอกปกคลุมอยู่ แถมยังมีข้อจำกัดเรื่องการเปลี่ยนหน้าช้า และยังไม่มีจุดขายที่แข็งพอจะสู้กับคู่แข่งรายอื่นในสงครามดิสเพลย์ ซึ่งยังต้องรอลุ้นว่าอีรีดเดอร์จะแจ้งเกิดได้ในปี 2010 หรือไม่
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของอีรีดเดอร์คือการรวมอีรีดเดอร์และแทปเล็ตพีซี ไว้ด้วยกัน ออกมาในรูปอีรีดเดอร์จอสี 2 จอ หนึ่งในสองจอสามารถต่ออินเทอร์เนตเพื่อเลือกไฟล์อีบุ๊ก
นอกจากนี้ กระแสอีรีดเดอร์ยังปรากฏในอุปกรณ์อื่นๆด้วย นั่นคือโปรแกรมอีรีดเดอร์บนอุปกรณ์พกพาที่ผู้บริโภคสามารถดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ เช่น โปรแกรมคินเดิลฟอร์ไอโฟน เป็นต้น ซึ่งเมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าแพลตฟอร์มอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และอินฟราสตรัคเจอร์ คือพื้นฐานที่สอดคล้องกันของ Gadget ในปี 2010
****4. มนต์สะกดวินโดวส์เซเว่น
สำนักวิจัยไอดีซีเชื่อว่าปี 2010 ผู้ใช้วินโดวส์เซเว่นจะเติบโตรวดเร็วมากจนมีสัดส่วน 50% เมื่อเทียบกับผู้ใช้ทั่วโลก วินโดวส์เซเว่นจึงเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่จะมาแน่นอนในปี 2010
แม้จะมีการใช้งานวินโดวส์เซเว่นแพร่หลาย แต่ปี 2010 จะเป็นปีที่หลายบริษัทพร้อมใจกันออกบริการคลาวด์คอมพิวติง ที่มีแนวคิดหลักว่าผู้ใช้จะเก็บข้อมูลไว้ที่ใดก็ได้ ใช้ข้อมูลได้ไม่สิ้นสุด และสามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา ปี 2010 จึงเชื่อว่าพฤติกรรมการใช้ซอฟต์แวร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะเปลี่ยนแปลงชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้ จากการติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเครื่อง มาเป็นการเรียกใช้ซอฟต์แวร์จากอินเทอร์เน็ตแทน
ไมโครซอฟท์จึงต้องรับศึกการต่อสู้ระหว่างโลกเดสก์ท็อปและโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยการเปิดตัวบริการ Azure (อะซัวร์) บริการคลาวด์คอมพิวติงที่อาจจะร่วมเป็นอีกแรงสะกดผู้บริโภคในปี 2010
คู่ต่อสู้ตัวแม่ของไมโครซอฟท์ในปีนี้หนีไม่พ้นกูเกิล ที่กำลังจะเปิดตัวระบบปฏิบัติการออนไลน์ของตัวเองในชื่อ ChromeOS กูเกิลระบุว่าโอเอสของตัวเองสามารถทำงานได้ดีบนคอมพิวเตอร์พกพาทั้งเน็ตบุ๊ก และแทปเล็ตพีซี เท่ากับกูเกิลขอมีเอี่ยวในกระแสคอมพ์พกพาที่เชื่อว่าจะเชี่ยวกรากในปี 2010 อย่างเต็มตัว
กูเกิลมองว่าผู้ใช้แล็ปท็อป จะกลายพันธุ์เป็นผู้ใช้เน็ตบุ๊ก ขณะที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะกลายเป็นผู้ใช้แทปเล็ตพีซี
****5. อาณาจักรทีวีอินเทอร์เน็ต
ตลาดทีวีอินเทอร์เน็ตในปี 2010 เชื่อว่าจะมีความคึกคักสุดขีด เพราะนอกจากความสะดวกสบายจากการเล่นอินเทอร์เน็ตบนทีวีจอยักษ์ การตอบโจทย์เรื่องข่าวอัปเดทล่าสุดจากสถานีข่าวในประเทศไทย (เนชันจับมือกับซัมซุง) วิดเจ็ทสารพัดประโยชน์บนหน้าจอทีวี และตัวคอนเทนท์วิดีโอบนอินเทอร์เน็ตในขณะนี้ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายไม่ต่างจากคอนเทนท์บนทีวี ล้วนเสริมบารมีให้ทีวีอินเทอร์เน็ตเติบโตในปี 2010 อย่างต่อเนื่อง
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับทีวี 3 มิติอย่างแว่นตาก็เชื่อว่าจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปี 2010 ซึ่งล่าสุดมีการผลิตแว่นตา 3 มิติแบบไฟฟ้าด้วย คุณสมบัติคือการปรับเป็นภาพ 3 มิติให้อัตโนมัติ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้มากกว่าแบบไร้ไฟฟ้าที่ผู้บริโภคต้องปรับสายตาเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการเปิดตัวทีวี 3 มิติเพื่อเร่งทำตลาดในปี 2010 ของค่ายปลาดิบเช่น พานาโซนิก และโซนี่ ขณะที่ผู้ผลิตฝั่งเกาหลีระบุว่าจะมุ่งพัฒนาระบบกระจายสัญญาณภาพโทรทัศน์ 3 มิติเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับอรรถรสสมจริงจากจอแก้วที่บ้าน
****6. อหังการเครือข่ายสังคม
เมื่อทุกอุปกรณ์ไอทีในปี 2010 ล้วนมีฟังก์ชันเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยืนพื้น การขยายตัวของโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือเครือข่ายสังคมจึงเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น เพราะเมื่ออินเทอร์เน็ตพร้อมเท่าไหร่ ผู้บริโภคก็พร้อมจะอัปเดทคอนเทนท์บนโซเชียลเน็ตเวิร์กมากเท่านั้น
ที่สำคัญ คอนเทนท์ที่เติบโตรวดเร็วจะมีผลต่อเสิร์ชเอนจิ้นหรือระบบค้นหาข้อมูลออนไลน์ในปี 2010 ด้วย เนื่องจากเสิร์ชเอนจินรายใหญ่อย่างกูเกิลและบิง ประกาศจับมือกับเครือข่ายสังคมทั้งเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์เพื่อให้ชาวออนไลน์สามารถเสิร์ชพบข้อมูลอัปเดทนาทีต่อนาทีในเครือข่ายสังคมได้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรียลไทม์เสิร์ชในอนาคต
นอกจากเรียลไทม์เสิร์ช เชื่อว่าเครือข่ายสังคมจะให้กำเนิดตลาด"เรียลไทม์ช็อปปิ้ง" ในปี 2010 ด้วย เช่น การขายของผ่านทวิตเตอร์ ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อได้เลยขณะโฟลโลว์ เป็นต้น
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ใช้เฟสบุ๊กทั้งสิ้น 1.6 ล้านคน และผู้ใช้ทวิตเตอร์ 30,000 คน คาดว่าจะมีการเติบโตราว 3 เท่าตัวในปี 2010
****7. ทอร์นาโดไฮสปีด
ทิศทางอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นมาแรงมากในปี 2010 สถิติผู้ใช้ในประเทศไทยบรอดแบนด์ขณะนี้มีจำนวนมากกว่า 2 ล้านรายแล้ว คาดว่าจะมีอัตราขยายตัวเกิน 3 ล้านรายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดในประเทศไทยขณะนี้คือ 30Mbps
เมื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแพร่หลาย สิ่งที่จะเกิดคือความนิยมเรื่องไฟล์แชร์ริ่ง โดยเฉพาะการโหลดบิต ขณะเดียวกัน ภัยออนไลน์ทั้งภัยบ็อตเน็ตและหนอนคอมพิวเตอร์ก็จะหนักขึ้นด้วย โดยในปี 2010 เชื่อกันว่าโปรแกรมให้ผู้บริโภคสร้างมัลแวร์เองจะได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น รวมถึงภัยเมลหลอกลวงให้ช่วยเหลือสังคม และภัยคุกคามบนอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เช่น ไอโฟน ก็เชื่อว่าจะมีความเสียหายหนักกว่าเดิม
โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยกระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟนทั้งแอนดรอยด์ และไอโฟน แต่ก็จะกระตุ้นให้มีการขโมยทรัพยากรเครือข่ายมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ไวรัสบนเครือข่าย, ไวรัสบนวินโดวส์เซเว่น และไวรัสบนแมคอินทอชก็คาดว่าจะวาดลวดลายหนักข้อขึ้นในปี 2010
****8. สมาร์ทโฟนคำราม
เชื่อขนมกินได้เลยว่าสมาร์ทโฟนในปี 2010 จะแข่งขันดุเดือดกว่าทุกปีที่เป็นมา มีการคำนวณว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ไม่ต่ำกว่า 50 เครื่องจะพากันแจ้งเกิดในปี 2010 พร้อมกับมีข่าวลือว่าไอโฟนรุ่น 4G จะแจ้งเกิดในเดือนกรกฏาคม 2010 โดยปรับให้มีกล้องดิจิตอลด้านหน้า พร้อมหน้าจอสว่างกว่าเดิม กล้อง 5.2 ล้านพิกเซล รองรับบลูทูธ
คำถามที่เกิดขึ้นคือเมื่อแอนดรอยด์และไอโฟนมาแรง ยักษ์ใหญ่โนเกียจะออกหัวก้อยอย่างไรต่อไป เป็นอีกเรื่องที่โลกต้องลุ้นกันในปี 2010 ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่าวินโดวส์โมบายล์ 7 จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2010 ความล่าช้าที่เกิดขึ้นย่อมมีผลต่อการทำตลาดของไมโครซอฟท์ด้วย
ในส่วนของตลาดแอปพลิเคชัน ตลาดแอนดรอยด์ถูกประเมินว่าจะมี 80,000 แอปพลิเคชันในปี 2010 จาก 20,000 แอปพลิเคชันในปี 2009 เทียบกับไอโฟนที่มีอยู่แล้วเกิน 100,000 แอปพลิเคชัน
บริษัทวิจัยตลาดประเมินกันว่าสมาร์ทโฟนจะมีสัดส่วนตลาดราว 38% ของตลาดรวมโทรศัพท์มือถือในปี 2013 เพิ่มขึ้นจาก 9% ในปี 2009
***9. Real 3G ยังไม่เห็น
ขณะนี้ ผู้บริโภคชาวไทยบางส่วนเริ่มได้เห็นบริการอินเทอร์เน็ต 3G จากโอเปอเรเตอร์บางค่ายแล้ว คาดว่าจะได้เห็นบริการเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2010 อย่างไรก็ตาม บริการประเภท Real 3G หรือบริการ 3G แบบของแท้บนคลื่นความถี่ 2100 MHz นั้นจะเกิดขึ้นในประเทศไทยไม่ทันปลายปี 2010 แน่นอน เนื่องจากโอเปอเรเตอร์จะต้องใช้เวลาติดตั้งระบบอย่างน้อย 6 เดือนหลังได้รับใบอนุญาตหรือไลเซนส์ 3G ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนถึงกำหนดการอนุมัติไลเซนส์อย่างเป็นทางการ
****10. โลกใหม่เอ็มคอมเมิร์ซ
เอ็มคอมเมิร์ซ หรือ M-Banking บริการการเงินบนโทรศัพท์มือถือนั้นถูกมองว่าเป็นเทรนด์แรงของโลกในทุกๆปี แต่กลับไม่มีอิทธิพลเท่าที่ควรในประเทศไทยตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ทุกธนาคารจะมีให้บริการแล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่เสมอคือความมั่นใจผู้บริโภค และพฤติกรรมการซื้อของคนไทยที่ไม่เอื้ออำนวย
ฉะนั้น ความชัดเจนว่ากระแสอินเทอร์เน็ตร้อนแรงในปี 2010 จะช่วยกระตุ้นให้บริการการเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เติบโตยิ่งขึ้น จึงถูกสั่นคลอนเพราะความไม่มั่นใจของผู้บริโภค เอ็มคอมเมิร์ซในปีนี้จึงยังไม่มีทิศทางชัดเจนว่าจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าใด
**********
10 เทรนด์ไอทีนี้รวบรวมโดย "ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช" รองผู้จัดการทั่วไปและผู้อำนวยการฝ่ายนิวมีเดีย บริษัท เอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด (ARiP) ผู้จัดงานคอมมาร์ท (Commart) ซึ่งคนไทยรู้จักกันดี
ประสิทธิ์บอกว่าพฤติกรรมผู้บริโภคไอทีประเทศไทยในปี 2010 จะเปลี่ยนมาเป็นการพิจารณา 3 ส่วนหลักก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ได้แก่ "แฟชั่น ฟังก์ชัน และราคา" ผลคือผู้ค้าในตลาดไอทีก็จะแข่งขันกันใน 3 เรื่องหลักตลอดปี 2010
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่จะถูกหยิบยกมาพูดถึงในบทความนี้ไม่ใช่ Fash หรือแฟชั่นไอทีที่มาแล้วก็ไป แต่จะเป็น Trend ว่าทิศทางไอทีใดบ้างที่ผู้บริโภคจะได้เห็นในปี 2010 ซึ่งจากการประมวลแล้วพบว่าเทรนด์ที่รวบรวมมาได้นั้นสอดคล้องกันทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าสงครามไอทีปีเสือจะดุเดือดมากขึ้น จนเชื่อว่าจะทำให้ตลาดไอทีโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบมโหฬาร
คำถามว่า ปี 2010 ยูสเซอร์จะต้องพบเจออะไรบ้าง หนึ่งหนีไม่พ้น"คลื่นเน็ตบุ๊ก"ในทะเลพีซีที่เชื่อว่ายังไม่ตายง่ายๆ สองคือ"พายุแทปเล็ต"พีซีหน้าจอสัมผัสไร้คีย์บอร์ดที่ถูกมองว่าจะเป็นดาวรุ่ง พุ่งแรงแซงใครๆ สามคือ"กระแสเครื่องอ่านอีบุ๊ก"ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะโลกกระดาษนั้นเคลื่อนตัวเข้าสู่โลกดิจิตอลแล้ว สี่คือ"มนต์สะกดวินโดวส์ 7 และออฟฟิศ 2010" จากไมโครซอฟท์ที่เชื่อว่าจะสามารถสะกดคนทั้งโลกได้มากขึ้น
ห้าคือ"อาณาจักรทีวีเจนใหม่"ที่กล้าติดชิปคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน บนเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าทีวีจะแฮงก์เหมือนคอมพิวเตอร์ หกคือ"อหังการเครือข่ายสังคม"ซึ่งทุกสำนักฟันธงว่าโซเชีย ลเน็ตเวิร์กกิงในปีหน้าจะเติบโตขึ้นอีก
เจ็ดคือ"ทอร์นาโดไฮสปีด"เชื่อว่าผู้ใช้บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วในปี 2010 ซึ่งเท่ากับผู้ใช้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มากขึ้นด้วย แปดคือ"สมาร์ทโฟนคำราม"เพราะเสียงคำรามกู่ร้องในสนามรบระหว่างไอโฟน-แบล็กเบอรี่-แอนดรอยด์ในปี 2010 จะดังกึกก้องจนสะเทือนไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เทรนด์ที่เก้าและสิบนั้นต้องบอกว่า"ยังไม่กล้าฟันธง" ได้แก่ "ทรีจี-ไวแมกซ์"ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนว่าจะเป็นรูปเป็นร่างอย่างไรในประเทศไทย รวมถึง"โลกใหม่เอ็มคอมเมิร์ซ"ที่จะยังต้องรอความชัดเจนอยู่
*****1. คลื่นเน็ตบุ๊กยังซัด
ปีที่ผ่านมาคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กหรือพีซีพกพาตัวเล็กราคาประหยัด สามารถเติบโตได้เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปี 2010 ตลาดเน็ตบุ๊กก็จะยังเติบโตอยู่ แต่อาจไม่โตอู้ฟู้เพราะมีคู่แข่ง
สิ่งที่ชี้ว่าเน็ตบุ๊กจะยังเติบโตต่อไปคือการที่อินเทลเปิดตัวชิป Atom รุ่นใหม่นาม n450 ทำให้เน็ตบุ๊กมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถรองรับภาพยนตร์ความละเอียดสูงหรือ HD ได้แต่ยังไม่เต็มขั้น มีขนาดบางลง ในราคาสบายกระเป๋า แต่สิ่งที่ชี้ว่าคลื่นเน็ตบุ๊กจะไม่ซัดแรงจนเติบโตอู้ฟู้คืออินเทลนั้นระบุ ว่า ชิป n450 นั้นไม่ได้ผลิตมาสำหรับเน็ตบุ๊กอย่างเดียว แต่สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปอื่นๆได้ด้วย ทำให้แล็ปท็อปรุ่นอื่นสามารถหั่นราคาลงเพื่อแข่งกับเน็ตบุ๊กได้อย่างถึงพริก ถึงขิง
สำหรับตลาดคอมพิวเตอร์ประหยัดพลังงานพิเศษหรือ CULV เชื่อว่าจะเติบโตไม่รุนแรงในปี 2010 เพราะผู้ผลิตพีซีจะกดราคาเน็ตบุ๊กลงมาแย่งตลาด โดย CULV อาจครองส่วนแบ่งได้ 30% ในปีเสือ
อีกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีเสือ คือผู้บริโภคจะสับสนเรื่องสายผลิตภัณฑ์พีซีพกพามากขึ้นอีก เนื่องจากการกำเนิดของ"สมาร์ทบุ๊ก (Smartbook)" คอมพิวเตอร์ตัวเล็กเท่าเน็ตบุ๊ก (หน้าจอไม่เกิน 10 นิ้ว) แต่ใช้ชิป ARM ซึ่งนิยมใช้ในสมาร์ทโฟน รองรับไว-ไฟและ3G ต่ออินเทอร์เน็ตได้ บนราคาที่ถูกกว่าเน็ตบุ๊ก
สรุปแล้ว จากภาพที่มองว่าเน็ตบุ๊กใกล้จะสิ้นชีพในปีนี้ แท้จริงแล้วยังไม่แน่นอน เพราะต้องลุ้นผลการต่อสู้ระหว่างเน็ตบุ๊กกับโน้ตบุ๊ก CULV สมาร์ทบุ๊ก สมาร์ทโฟน และที่สำคัญคือ คอมพิวเตอร์แทปเล็ตที่เชื่อว่าจะเป็นกระแสแรงมากในปี 2010
****2. พายุแทปเล็ต
แทปเล็ตพีซีคือคอมพิวเตอร์พกพาที่หักฝาพับหน้าจอออกไป แล้วนำหน้าจอสัมผัสมาติดไว้ที่แทนคีย์บอร์ด น้ำหนักเบา หน้าจอราว 7-10 นิ้ว ขณะนี้สินค้ากลุ่มแทปเล็ตพีซีเริ่มออกมาวางจำหน่ายอย่างจริงจังแล้ว และได้รับกระแสตอบรับมากมาย
ทั้งหมดนี้ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าพีซีพกพาแต่ละชนิดจะโรมรันแข่งขันอย่างหนักในปี 2010 แต่ประเด็นที่จะยังเป็นคำถามสำหรับแทปเล็ตพีซีคือความเชื่อว่า ผู้บริโภคยังไม่ต้องการแทปเล็ตพีซี เพราะประสิทธิภาพที่ไม่หนีจาก CULV เครื่องอ่านอีบุ๊ก และเน็ตบุ๊ก แถมราคาก็ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันไม่ได้
****3. กระแสเครื่องอ่านอีบุ๊ก
ปี 2010 ถูกมองว่าจะเป็นปีแห่งสงครามดิสเพลย์ หนึ่งในผู้ร่วมชิงชัยคือเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีรีดเดอร์ (eReader) เชื่อว่ายอดขายอีรีดเดอร์จะทะลุ 6 ล้านเครื่องในปี 2010 บนฝีมือการผลิตของบริษัทไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์ แต่ละแบรนด์มีจำนวนมากกว่า 1 รุ่น
จุดเด่นของอีรีดเดอร์นั้นอยู่ที่การประหยัดพลังงาน เหมาะกับการแสดงผลตำรา อ่านง่าย รองรับไฟล์เอกสารได้หลากหลาย ล่าสุด มีรายงานว่าโรงงานผลิตหน้าจอในประเทศไต้หวันลงมือผลิตจออีอิงค์ชนิดใหม่ที่ มีราคาถูกลง ทำให้เชื่อว่าอุปกรณ์อีรีดเดอร์ทั้งหลายจะมีราคา 99 เหรียญในปีหน้า จากที่ปัจจุบันมีราคาราว 259 เหรียญ
อย่างไรก็ตาม อีรีดเดอร์นั้นมีความสามารถที่จำกัด ค้านกับคำพูดของเจ้าพ่อสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอแอปเปิลที่บอกว่าอุปกรณ์ไอทีต้องทำได้หลายอย่าง ทำให้อนาคตของอีรีดเดอร์ยังมีภาพหมอกปกคลุมอยู่ แถมยังมีข้อจำกัดเรื่องการเปลี่ยนหน้าช้า และยังไม่มีจุดขายที่แข็งพอจะสู้กับคู่แข่งรายอื่นในสงครามดิสเพลย์ ซึ่งยังต้องรอลุ้นว่าอีรีดเดอร์จะแจ้งเกิดได้ในปี 2010 หรือไม่
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของอีรีดเดอร์คือการรวมอีรีดเดอร์และแทปเล็ตพีซี ไว้ด้วยกัน ออกมาในรูปอีรีดเดอร์จอสี 2 จอ หนึ่งในสองจอสามารถต่ออินเทอร์เนตเพื่อเลือกไฟล์อีบุ๊ก
นอกจากนี้ กระแสอีรีดเดอร์ยังปรากฏในอุปกรณ์อื่นๆด้วย นั่นคือโปรแกรมอีรีดเดอร์บนอุปกรณ์พกพาที่ผู้บริโภคสามารถดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ เช่น โปรแกรมคินเดิลฟอร์ไอโฟน เป็นต้น ซึ่งเมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าแพลตฟอร์มอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และอินฟราสตรัคเจอร์ คือพื้นฐานที่สอดคล้องกันของ Gadget ในปี 2010
****4. มนต์สะกดวินโดวส์เซเว่น
สำนักวิจัยไอดีซีเชื่อว่าปี 2010 ผู้ใช้วินโดวส์เซเว่นจะเติบโตรวดเร็วมากจนมีสัดส่วน 50% เมื่อเทียบกับผู้ใช้ทั่วโลก วินโดวส์เซเว่นจึงเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่จะมาแน่นอนในปี 2010
แม้จะมีการใช้งานวินโดวส์เซเว่นแพร่หลาย แต่ปี 2010 จะเป็นปีที่หลายบริษัทพร้อมใจกันออกบริการคลาวด์คอมพิวติง ที่มีแนวคิดหลักว่าผู้ใช้จะเก็บข้อมูลไว้ที่ใดก็ได้ ใช้ข้อมูลได้ไม่สิ้นสุด และสามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา ปี 2010 จึงเชื่อว่าพฤติกรรมการใช้ซอฟต์แวร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะเปลี่ยนแปลงชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้ จากการติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเครื่อง มาเป็นการเรียกใช้ซอฟต์แวร์จากอินเทอร์เน็ตแทน
ไมโครซอฟท์จึงต้องรับศึกการต่อสู้ระหว่างโลกเดสก์ท็อปและโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยการเปิดตัวบริการ Azure (อะซัวร์) บริการคลาวด์คอมพิวติงที่อาจจะร่วมเป็นอีกแรงสะกดผู้บริโภคในปี 2010
คู่ต่อสู้ตัวแม่ของไมโครซอฟท์ในปีนี้หนีไม่พ้นกูเกิล ที่กำลังจะเปิดตัวระบบปฏิบัติการออนไลน์ของตัวเองในชื่อ ChromeOS กูเกิลระบุว่าโอเอสของตัวเองสามารถทำงานได้ดีบนคอมพิวเตอร์พกพาทั้งเน็ตบุ๊ก และแทปเล็ตพีซี เท่ากับกูเกิลขอมีเอี่ยวในกระแสคอมพ์พกพาที่เชื่อว่าจะเชี่ยวกรากในปี 2010 อย่างเต็มตัว
กูเกิลมองว่าผู้ใช้แล็ปท็อป จะกลายพันธุ์เป็นผู้ใช้เน็ตบุ๊ก ขณะที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะกลายเป็นผู้ใช้แทปเล็ตพีซี
****5. อาณาจักรทีวีอินเทอร์เน็ต
ตลาดทีวีอินเทอร์เน็ตในปี 2010 เชื่อว่าจะมีความคึกคักสุดขีด เพราะนอกจากความสะดวกสบายจากการเล่นอินเทอร์เน็ตบนทีวีจอยักษ์ การตอบโจทย์เรื่องข่าวอัปเดทล่าสุดจากสถานีข่าวในประเทศไทย (เนชันจับมือกับซัมซุง) วิดเจ็ทสารพัดประโยชน์บนหน้าจอทีวี และตัวคอนเทนท์วิดีโอบนอินเทอร์เน็ตในขณะนี้ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายไม่ต่างจากคอนเทนท์บนทีวี ล้วนเสริมบารมีให้ทีวีอินเทอร์เน็ตเติบโตในปี 2010 อย่างต่อเนื่อง
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับทีวี 3 มิติอย่างแว่นตาก็เชื่อว่าจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปี 2010 ซึ่งล่าสุดมีการผลิตแว่นตา 3 มิติแบบไฟฟ้าด้วย คุณสมบัติคือการปรับเป็นภาพ 3 มิติให้อัตโนมัติ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้มากกว่าแบบไร้ไฟฟ้าที่ผู้บริโภคต้องปรับสายตาเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการเปิดตัวทีวี 3 มิติเพื่อเร่งทำตลาดในปี 2010 ของค่ายปลาดิบเช่น พานาโซนิก และโซนี่ ขณะที่ผู้ผลิตฝั่งเกาหลีระบุว่าจะมุ่งพัฒนาระบบกระจายสัญญาณภาพโทรทัศน์ 3 มิติเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับอรรถรสสมจริงจากจอแก้วที่บ้าน
****6. อหังการเครือข่ายสังคม
เมื่อทุกอุปกรณ์ไอทีในปี 2010 ล้วนมีฟังก์ชันเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยืนพื้น การขยายตัวของโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือเครือข่ายสังคมจึงเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น เพราะเมื่ออินเทอร์เน็ตพร้อมเท่าไหร่ ผู้บริโภคก็พร้อมจะอัปเดทคอนเทนท์บนโซเชียลเน็ตเวิร์กมากเท่านั้น
ที่สำคัญ คอนเทนท์ที่เติบโตรวดเร็วจะมีผลต่อเสิร์ชเอนจิ้นหรือระบบค้นหาข้อมูลออนไลน์ในปี 2010 ด้วย เนื่องจากเสิร์ชเอนจินรายใหญ่อย่างกูเกิลและบิง ประกาศจับมือกับเครือข่ายสังคมทั้งเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์เพื่อให้ชาวออนไลน์สามารถเสิร์ชพบข้อมูลอัปเดทนาทีต่อนาทีในเครือข่ายสังคมได้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรียลไทม์เสิร์ชในอนาคต
นอกจากเรียลไทม์เสิร์ช เชื่อว่าเครือข่ายสังคมจะให้กำเนิดตลาด"เรียลไทม์ช็อปปิ้ง" ในปี 2010 ด้วย เช่น การขายของผ่านทวิตเตอร์ ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อได้เลยขณะโฟลโลว์ เป็นต้น
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ใช้เฟสบุ๊กทั้งสิ้น 1.6 ล้านคน และผู้ใช้ทวิตเตอร์ 30,000 คน คาดว่าจะมีการเติบโตราว 3 เท่าตัวในปี 2010
****7. ทอร์นาโดไฮสปีด
ทิศทางอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นมาแรงมากในปี 2010 สถิติผู้ใช้ในประเทศไทยบรอดแบนด์ขณะนี้มีจำนวนมากกว่า 2 ล้านรายแล้ว คาดว่าจะมีอัตราขยายตัวเกิน 3 ล้านรายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดในประเทศไทยขณะนี้คือ 30Mbps
เมื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแพร่หลาย สิ่งที่จะเกิดคือความนิยมเรื่องไฟล์แชร์ริ่ง โดยเฉพาะการโหลดบิต ขณะเดียวกัน ภัยออนไลน์ทั้งภัยบ็อตเน็ตและหนอนคอมพิวเตอร์ก็จะหนักขึ้นด้วย โดยในปี 2010 เชื่อกันว่าโปรแกรมให้ผู้บริโภคสร้างมัลแวร์เองจะได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น รวมถึงภัยเมลหลอกลวงให้ช่วยเหลือสังคม และภัยคุกคามบนอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เช่น ไอโฟน ก็เชื่อว่าจะมีความเสียหายหนักกว่าเดิม
โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยกระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟนทั้งแอนดรอยด์ และไอโฟน แต่ก็จะกระตุ้นให้มีการขโมยทรัพยากรเครือข่ายมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ไวรัสบนเครือข่าย, ไวรัสบนวินโดวส์เซเว่น และไวรัสบนแมคอินทอชก็คาดว่าจะวาดลวดลายหนักข้อขึ้นในปี 2010
****8. สมาร์ทโฟนคำราม
เชื่อขนมกินได้เลยว่าสมาร์ทโฟนในปี 2010 จะแข่งขันดุเดือดกว่าทุกปีที่เป็นมา มีการคำนวณว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ไม่ต่ำกว่า 50 เครื่องจะพากันแจ้งเกิดในปี 2010 พร้อมกับมีข่าวลือว่าไอโฟนรุ่น 4G จะแจ้งเกิดในเดือนกรกฏาคม 2010 โดยปรับให้มีกล้องดิจิตอลด้านหน้า พร้อมหน้าจอสว่างกว่าเดิม กล้อง 5.2 ล้านพิกเซล รองรับบลูทูธ
คำถามที่เกิดขึ้นคือเมื่อแอนดรอยด์และไอโฟนมาแรง ยักษ์ใหญ่โนเกียจะออกหัวก้อยอย่างไรต่อไป เป็นอีกเรื่องที่โลกต้องลุ้นกันในปี 2010 ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่าวินโดวส์โมบายล์ 7 จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2010 ความล่าช้าที่เกิดขึ้นย่อมมีผลต่อการทำตลาดของไมโครซอฟท์ด้วย
ในส่วนของตลาดแอปพลิเคชัน ตลาดแอนดรอยด์ถูกประเมินว่าจะมี 80,000 แอปพลิเคชันในปี 2010 จาก 20,000 แอปพลิเคชันในปี 2009 เทียบกับไอโฟนที่มีอยู่แล้วเกิน 100,000 แอปพลิเคชัน
บริษัทวิจัยตลาดประเมินกันว่าสมาร์ทโฟนจะมีสัดส่วนตลาดราว 38% ของตลาดรวมโทรศัพท์มือถือในปี 2013 เพิ่มขึ้นจาก 9% ในปี 2009
***9. Real 3G ยังไม่เห็น
ขณะนี้ ผู้บริโภคชาวไทยบางส่วนเริ่มได้เห็นบริการอินเทอร์เน็ต 3G จากโอเปอเรเตอร์บางค่ายแล้ว คาดว่าจะได้เห็นบริการเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2010 อย่างไรก็ตาม บริการประเภท Real 3G หรือบริการ 3G แบบของแท้บนคลื่นความถี่ 2100 MHz นั้นจะเกิดขึ้นในประเทศไทยไม่ทันปลายปี 2010 แน่นอน เนื่องจากโอเปอเรเตอร์จะต้องใช้เวลาติดตั้งระบบอย่างน้อย 6 เดือนหลังได้รับใบอนุญาตหรือไลเซนส์ 3G ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนถึงกำหนดการอนุมัติไลเซนส์อย่างเป็นทางการ
****10. โลกใหม่เอ็มคอมเมิร์ซ
เอ็มคอมเมิร์ซ หรือ M-Banking บริการการเงินบนโทรศัพท์มือถือนั้นถูกมองว่าเป็นเทรนด์แรงของโลกในทุกๆปี แต่กลับไม่มีอิทธิพลเท่าที่ควรในประเทศไทยตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ทุกธนาคารจะมีให้บริการแล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่เสมอคือความมั่นใจผู้บริโภค และพฤติกรรมการซื้อของคนไทยที่ไม่เอื้ออำนวย
ฉะนั้น ความชัดเจนว่ากระแสอินเทอร์เน็ตร้อนแรงในปี 2010 จะช่วยกระตุ้นให้บริการการเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เติบโตยิ่งขึ้น จึงถูกสั่นคลอนเพราะความไม่มั่นใจของผู้บริโภค เอ็มคอมเมิร์ซในปีนี้จึงยังไม่มีทิศทางชัดเจนว่าจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าใด
**********
10 เทรนด์ไอทีนี้รวบรวมโดย "ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช" รองผู้จัดการทั่วไปและผู้อำนวยการฝ่ายนิวมีเดีย บริษัท เอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด (ARiP) ผู้จัดงานคอมมาร์ท (Commart) ซึ่งคนไทยรู้จักกันดี
ประสิทธิ์บอกว่าพฤติกรรมผู้บริโภคไอทีประเทศไทยในปี 2010 จะเปลี่ยนมาเป็นการพิจารณา 3 ส่วนหลักก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ได้แก่ "แฟชั่น ฟังก์ชัน และราคา" ผลคือผู้ค้าในตลาดไอทีก็จะแข่งขันกันใน 3 เรื่องหลักตลอดปี 2010
ข่าวไอทีวันที่ 30 ธันวามคม 52
ค้าปลีกไอทีมั่นใจศก.ปี53สดใส โตทะลุ10%
ค้าปลีกไอทีปี 2553 ส่งสัญญาณคึกคัก คาดอัตราการเติบโตทะลุ 10% รับสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ต่างประกาศแผนอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่ม-ปรับปรุงพื้นที่ค้าปลีกไอทีปี 2553 ส่งสัญญาณคึกคัก คาดอัตราการเติบโตทะลุ 10% รับสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ต่างประกาศแผนอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่ม-ปรับปรุงพื้นที่ พร้อมชูจุดขายใหม่ หวังดึงกำลังซื้อเฉพาะกลุ่ม อย่างไรก็ตาม
สถานการณ์ทางการเมืองถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่อาจเป็นต้นเหตุธุรกิจสะดุด รายใหญ่รุกปรับแผนโหมกิจกรรมการตลาด หวังปั้นฐานลูกค้าระยะยาว
ไอทีซิตี้ปูพรมต่างจังหวัด
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.ไอทีซิตี้ กล่าวว่า ปี 2553 บริษัทวางแผนลงทุนขยายสาขาเพิ่มอีก 8 สาขา ตั้งงบลงทุนไว้ราว 60 ล้านบาท โดยเน้นต่างจังหวัด จากปีที่ผ่านมา ขยายสาขาใหม่เพียง 4 สาขา เนื่องจากบริษัทเชื่อว่าปีหน้าตลาดค้าปลีกจะขยายตัวได้ดีมากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อเป็นไปตามนโยบายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทเน้นลงทุนในกรุงเทพฯ เป็นหลัก แต่แนวโน้มการใช้จ่ายไอทีช่วงนี้อัตราการเติบโตของยอดขายจากต่างจังหวัดกลับเติบโตได้ดีกว่า คาดว่าเป็นผลจากฐานตลาดที่ต่ำ โดยบริษัทตั้งเป้าลงทุนขยายสาขาด้วยพื้นที่ตั้งแต่ 700-800 ตารางเมตรขึ้นไป และมีสินค้าครบถ้วน
"สาระสำคัญ คือ เราลงทุนเอง โดยใช้กระแสเงินสดที่เรามี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังดีอยู่ และปีนี้ ก็คาดว่าก็จะตามเป้าที่ตั้งไว้หรืออ่อนเล็กน้อย แต่เราก็ค่อนข้างมั่นใจกับตลาดปีหน้ามากขึ้น ประกอบกับตลาดมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้น" นายเอกชัยกล่าว
เขาระบุว่า ภาพรวมวงการค้าปลีกไอทีปีหน้า คาดว่าจะแข่งขันกันต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าจะเติบโตได้มากกว่า 10% จากปีนี้ตลาดเติบโตคงที่ และแนวโน้มอุปกรณ์ไอทีจะเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้นการใช้งานส่วนบุคคลมากขึ้น
พร้อมกับคาดการณ์ว่า พฤติกรรมของผู้ซื้อจะเน้นการไปในที่ที่เดียว และได้ของครบถ้วน รวมทั้งง่ายต่อการรับบริการ ส่วนมุมของการตัดสินใจซื้อเชื่อว่า ราคา เทคโนโลยี และความเป็นแฟชั่น จะเป็นจุดที่ผู้ค้าต้องแข่งขันกันมากขึ้น
ชี้เอสเอ็มอีลูกค้าใหม่
เขากล่าวว่า ไอทีซิตี้ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการจำหน่ายใหม่ เนื่องจากบริษัทมีนโยบายขายสินค้าที่ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่มอยู่แล้ว แต่ก็มีกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น คือ กลุ่มองค์กรขนาดกลาง-เล็ก (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะการลงทุนไอทีของภาครัฐที่ใช้งบในวงเงินที่ยังไม่ถึงขั้นต้องจัดประมูล เชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่จะเข้ามาซื้อหาสินค้าในไอทีซิตี้มากขึ้น
"การแข่งขันมีอยู่แล้ว สำหรับธุรกิจที่มองการตอบสนองต่อลูกค้าเป็นสำคัญ แต่ต่างกันตรงที่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว การแข่งขันก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น เพื่อชิงตลาดที่ขยายตัวได้น้อย แต่สำหรับวงการค้าปลีกไอทีไม่ใช่ เพราะตลาดยังขยายตัวได้อีกเยอะ หรือเรียกว่ายังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ฉะนั้นปีหน้าก็เชื่อว่าการแข่งขันจะยังมีเป็นปกติ" นายเอกชัยกล่าว
ทั้งนี้ ไอทีซิตี้ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกไอทีอันดับหนึ่งต่อเนื่อง และมียอดขายเติบโตได้มากกว่า 10%
ไอทีมอลล์เปิดโซนเจาะเฉพาะกลุ่ม
ขณะที่ นายชัยวัฒน์ เอมวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ซี.พี. พลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าไอที มอลล์ ฟอร์จูน ระบุว่า บริษัทก็เตรียมงบลงทุนเกือบ 100 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงศูนย์การค้าใหม่ โดยเน้นการเปิดโซนพิเศษเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
ทั้งนี้ เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ คือ กลุ่มผู้หญิง ซึ่งมีแนวโน้มจะใช้เงินจับจ่ายสินค้าไอทีมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันผู้ซื้อสินค้าไอทีส่วนใหญ่ราว 80% เป็นกลุ่มผู้ชาย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดไอทีต่างประเทศ
ล่าสุดเขาเผยว่า หลังเปิดตัวแผนดังกล่าวมีกระแสตอบรับดีมาก ทั้งผู้ประกอบการไอที และผู้ซื้อ ซึ่งมองว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ โดยขณะนี้ บริษัทกำลังเตรียมงาน คาดว่าจะเปิดตัวโซน "ไอที ฟอร์ เลดี้" เต็มรูปแบบเดือน พ.ย. 2553 แต่ระหว่างนี้บริษัทได้เริ่มโปรโมทกิจกรรม เพื่อกระตุ้นการซื้อขายสินค้าไอทีสำหรับผู้หญิงบ้างแล้ว
"เราวางแผนงานไว้ 5 ขั้น ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงกำลังปรับปรุงพื้นที่เดิม และตกแต่งด้านกายภาพให้พร้อม รวมทั้งเจรจากับผู้เช่าเดิมให้ปรับปรุงร้านตามคอนเซปต์ใหม่ ซึ่งก็ค่อยๆ ทยอยเปิด โดยคาดว่าเต็มรูปแบบได้ในช่วง พ.ย.ปีหน้า" นายชัยวัฒน์กล่าว
ดึงดาราดูดกำลังซื้อ
พร้อมระบุว่า ส่วนคอนเซปต์เปิดพื้นที่ให้ดารามาเช่า เพื่อจำหน่ายสินค้าไอทีก็เป็นไปได้ในเร็วๆ นี้ โดยล่าสุดกำลังเจรจากับดารานักแสดงที่สนใจ
แต่เขายอมรับว่า พื้นฐานของธุรกิจค้าปลีกไอที คือ เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ หรือสนใจในตลาดไอทีเป็นผู้ลงทุน ซึ่งอาจไม่ใช่ธรรมชาติของนักแสดง ดังนั้น บริษัทกำลังหาแผนธุรกิจที่เหมาะสม
"ดาราก็มีสนใจมาทำธุรกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านนี้ เราก็พยายามหาทางเลือกให้ อาทิเช่น ความน่าจะเป็นในการร่วมทุนกับผู้ประกอบการตัวจริง ซึ่งเราก็พยายามทำตัวเป็นตัวกลางเพื่อเจรจาให้ โดยตอนนี้ก็มีหลายรายให้ความสนใจ อาทิเช่น น้องซี ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ หรือน้องซี พิธีกรรายการไอที" นายชัยวัฒน์กล่าว
ขณะเดียวกัน ปีหน้าค่ายไอทีแบรนด์ดังๆ จะเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี คาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนุนให้กำลังซื้อเติบโตขึ้น 6-10% จากปีนี้ที่อัตราเติบโตอยู่ระดับ 3% จากผลกระทบช่วงไตรมาส 2 ที่ตลาดชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายเติบโตไม่ถึง 1%
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ เผยว่า การปรับโฉมไอทีมอลล์ตามแผน 2 ปี ยังครอบคลุมถึงการจัดสรรพื้นที่เป็นโซนไอที สำหรับเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิเช่น โซนค้าส่งไอที ไอทีเพื่อครอบครัว ไอทีสำหรับเด็ก ซึ่งบริษัทจะยังคงเน้นลูกค้าเป้าหมายระดับบีขึ้นไป เพื่อรองรับกำลังซื้อของคนย่านรัชดา พระราม 9 ไปถึงอโศก ที่คาดว่าจะมีกำลังซื้อมากกว่า 7 แสนคน ที่สำคัญย่านดังกล่าว ยังมีคอนโด เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์เกิดขึ้นมาก จึงถือว่าเป็นทำเลทองของไอทีมอลล์
ปัจจุบัน ไอทีมอลล์ มีคนเดินเข้ามาชอปปิ้งสินค้าไอทีต่อวันราว 4 หมื่นคน หากช่วงไหนมีกิจกรรมยอดคนเดินจะเพิ่มขึ้นถึง 5 หมื่นคน โดยมีกำลังซื้อต่อปีไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ขณะที่ช่วงมีกิจกรรม ยอดขายจะสะพัดมากกว่า 100 ล้านบาทต่อสัปดาห์ ขณะที่อัตราเฉลี่ยของรายได้ของแต่ละร้านค้าต่อเดือน 1-2 แสนบาท
พันธุ์ทิพย์ปั้นลูกค้าระยะยาว
นายวิษณุ หวังวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์พัฒน อาร์เขต จำกัด ในกลุ่มบริษัท ทีซีซีแลนด์ และผู้บริหารศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซา กล่าวว่า บริษัทยังคงเน้นแผนการลงทุนเพื่อขยายสาขาเพิ่ม คือ สาขาใหม่ที่เอกมัย โดยจะเดินหน้าการก่อสร้าง "เกตเวย์ เอกมัย" ราวช่วงต้นปี ให้เป็นศูนย์การค้าที่รวมทั้งสินค้าไอที แฟชั่น ภายใต้คอนเซปต์ "เจแปนนิส มาร์เก็ต" บนพื้นที่ 7 ไร่ ถือเป็นไลฟ์สไตล์ มอลล์แห่งแรก ที่พันธุ์ทิพย์วางไว้ดึงกำลังซื้อย่านสุขุมวิท คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ปี 2554 ด้วยเงินลงทุนราว 2 พันล้านบาท
พร้อมกันนี้ ยังเริ่มปรับแผนใหม่ เน้นการเติมความสมบูรณ์ให้ตลาดมากขึ้น รวมทั้งการจุดกระแสให้เกิดการใช้งานอุปกรณ์ไอที รวมทั้งการกระตุ้นให้คนเห็นประโยชน์ของการใช้เครื่องมือไอทีมากกว่าซื้อตามแฟชั่น
เขาระบุว่า ในปี 2553 พันธุ์ทิพย์วางแผนเพิ่มกิจกรรมทางการตลาด และการจัดประกวดต่างๆ อาทิเช่น กิจกรรมประกวดทำหนังสั้น และประกวดพัฒนาเกม จากที่ผ่านมา มีกิจกรรมประกวดหุ่นยนต์อย่างเดียว ซึ่งบริษัทเชื่อว่า แผนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้คนเห็นคุณค่าของการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้เป็นอาชีพ หรือสร้างรายได้ในอนาคตได้
หวั่นการเมืองทำ "สะดุด"
อย่างไรก็ตาม เขาเผยว่าแม้ภาพรวมตลาดไอทีปีหน้าจะดูสดใสขึ้น และคาดว่าจะขยายตัวได้มากกว่า 20% แต่หากสถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง หรือมีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น จะส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากทำให้คนไม่เกิดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งแม้ระบบเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น แต่ถ้าปัจจัยภายในประเทศไม่ส่งเสริมก็เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมไม่สามารถขยายตัวได้
ปัจจุบัน พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ยังเป็นสาขาที่มียอดขายมากที่สุด ด้วยสัดส่วนรายได้ราว 70% ขณะที่ สาขาบางกะปิ และงามวงศ์วาน สร้างสัดส่วนรายได้ให้ 10% และ 20% ตามลำดับ ส่วนดิจิทัล เกตเวย์ ที่บริเวณสยามสแควร์ เพิ่งเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
ค้าปลีกไอทีปี 2553 ส่งสัญญาณคึกคัก คาดอัตราการเติบโตทะลุ 10% รับสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ต่างประกาศแผนอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่ม-ปรับปรุงพื้นที่ค้าปลีกไอทีปี 2553 ส่งสัญญาณคึกคัก คาดอัตราการเติบโตทะลุ 10% รับสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ต่างประกาศแผนอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่ม-ปรับปรุงพื้นที่ พร้อมชูจุดขายใหม่ หวังดึงกำลังซื้อเฉพาะกลุ่ม อย่างไรก็ตาม
สถานการณ์ทางการเมืองถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่อาจเป็นต้นเหตุธุรกิจสะดุด รายใหญ่รุกปรับแผนโหมกิจกรรมการตลาด หวังปั้นฐานลูกค้าระยะยาว
ไอทีซิตี้ปูพรมต่างจังหวัด
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.ไอทีซิตี้ กล่าวว่า ปี 2553 บริษัทวางแผนลงทุนขยายสาขาเพิ่มอีก 8 สาขา ตั้งงบลงทุนไว้ราว 60 ล้านบาท โดยเน้นต่างจังหวัด จากปีที่ผ่านมา ขยายสาขาใหม่เพียง 4 สาขา เนื่องจากบริษัทเชื่อว่าปีหน้าตลาดค้าปลีกจะขยายตัวได้ดีมากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อเป็นไปตามนโยบายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทเน้นลงทุนในกรุงเทพฯ เป็นหลัก แต่แนวโน้มการใช้จ่ายไอทีช่วงนี้อัตราการเติบโตของยอดขายจากต่างจังหวัดกลับเติบโตได้ดีกว่า คาดว่าเป็นผลจากฐานตลาดที่ต่ำ โดยบริษัทตั้งเป้าลงทุนขยายสาขาด้วยพื้นที่ตั้งแต่ 700-800 ตารางเมตรขึ้นไป และมีสินค้าครบถ้วน
"สาระสำคัญ คือ เราลงทุนเอง โดยใช้กระแสเงินสดที่เรามี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรายังดีอยู่ และปีนี้ ก็คาดว่าก็จะตามเป้าที่ตั้งไว้หรืออ่อนเล็กน้อย แต่เราก็ค่อนข้างมั่นใจกับตลาดปีหน้ามากขึ้น ประกอบกับตลาดมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้น" นายเอกชัยกล่าว
เขาระบุว่า ภาพรวมวงการค้าปลีกไอทีปีหน้า คาดว่าจะแข่งขันกันต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าจะเติบโตได้มากกว่า 10% จากปีนี้ตลาดเติบโตคงที่ และแนวโน้มอุปกรณ์ไอทีจะเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้นการใช้งานส่วนบุคคลมากขึ้น
พร้อมกับคาดการณ์ว่า พฤติกรรมของผู้ซื้อจะเน้นการไปในที่ที่เดียว และได้ของครบถ้วน รวมทั้งง่ายต่อการรับบริการ ส่วนมุมของการตัดสินใจซื้อเชื่อว่า ราคา เทคโนโลยี และความเป็นแฟชั่น จะเป็นจุดที่ผู้ค้าต้องแข่งขันกันมากขึ้น
ชี้เอสเอ็มอีลูกค้าใหม่
เขากล่าวว่า ไอทีซิตี้ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการจำหน่ายใหม่ เนื่องจากบริษัทมีนโยบายขายสินค้าที่ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่มอยู่แล้ว แต่ก็มีกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น คือ กลุ่มองค์กรขนาดกลาง-เล็ก (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะการลงทุนไอทีของภาครัฐที่ใช้งบในวงเงินที่ยังไม่ถึงขั้นต้องจัดประมูล เชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่จะเข้ามาซื้อหาสินค้าในไอทีซิตี้มากขึ้น
"การแข่งขันมีอยู่แล้ว สำหรับธุรกิจที่มองการตอบสนองต่อลูกค้าเป็นสำคัญ แต่ต่างกันตรงที่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว การแข่งขันก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น เพื่อชิงตลาดที่ขยายตัวได้น้อย แต่สำหรับวงการค้าปลีกไอทีไม่ใช่ เพราะตลาดยังขยายตัวได้อีกเยอะ หรือเรียกว่ายังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ฉะนั้นปีหน้าก็เชื่อว่าการแข่งขันจะยังมีเป็นปกติ" นายเอกชัยกล่าว
ทั้งนี้ ไอทีซิตี้ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกไอทีอันดับหนึ่งต่อเนื่อง และมียอดขายเติบโตได้มากกว่า 10%
ไอทีมอลล์เปิดโซนเจาะเฉพาะกลุ่ม
ขณะที่ นายชัยวัฒน์ เอมวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ซี.พี. พลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าไอที มอลล์ ฟอร์จูน ระบุว่า บริษัทก็เตรียมงบลงทุนเกือบ 100 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงศูนย์การค้าใหม่ โดยเน้นการเปิดโซนพิเศษเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
ทั้งนี้ เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ คือ กลุ่มผู้หญิง ซึ่งมีแนวโน้มจะใช้เงินจับจ่ายสินค้าไอทีมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันผู้ซื้อสินค้าไอทีส่วนใหญ่ราว 80% เป็นกลุ่มผู้ชาย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดไอทีต่างประเทศ
ล่าสุดเขาเผยว่า หลังเปิดตัวแผนดังกล่าวมีกระแสตอบรับดีมาก ทั้งผู้ประกอบการไอที และผู้ซื้อ ซึ่งมองว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ โดยขณะนี้ บริษัทกำลังเตรียมงาน คาดว่าจะเปิดตัวโซน "ไอที ฟอร์ เลดี้" เต็มรูปแบบเดือน พ.ย. 2553 แต่ระหว่างนี้บริษัทได้เริ่มโปรโมทกิจกรรม เพื่อกระตุ้นการซื้อขายสินค้าไอทีสำหรับผู้หญิงบ้างแล้ว
"เราวางแผนงานไว้ 5 ขั้น ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงกำลังปรับปรุงพื้นที่เดิม และตกแต่งด้านกายภาพให้พร้อม รวมทั้งเจรจากับผู้เช่าเดิมให้ปรับปรุงร้านตามคอนเซปต์ใหม่ ซึ่งก็ค่อยๆ ทยอยเปิด โดยคาดว่าเต็มรูปแบบได้ในช่วง พ.ย.ปีหน้า" นายชัยวัฒน์กล่าว
ดึงดาราดูดกำลังซื้อ
พร้อมระบุว่า ส่วนคอนเซปต์เปิดพื้นที่ให้ดารามาเช่า เพื่อจำหน่ายสินค้าไอทีก็เป็นไปได้ในเร็วๆ นี้ โดยล่าสุดกำลังเจรจากับดารานักแสดงที่สนใจ
แต่เขายอมรับว่า พื้นฐานของธุรกิจค้าปลีกไอที คือ เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ หรือสนใจในตลาดไอทีเป็นผู้ลงทุน ซึ่งอาจไม่ใช่ธรรมชาติของนักแสดง ดังนั้น บริษัทกำลังหาแผนธุรกิจที่เหมาะสม
"ดาราก็มีสนใจมาทำธุรกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านนี้ เราก็พยายามหาทางเลือกให้ อาทิเช่น ความน่าจะเป็นในการร่วมทุนกับผู้ประกอบการตัวจริง ซึ่งเราก็พยายามทำตัวเป็นตัวกลางเพื่อเจรจาให้ โดยตอนนี้ก็มีหลายรายให้ความสนใจ อาทิเช่น น้องซี ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ หรือน้องซี พิธีกรรายการไอที" นายชัยวัฒน์กล่าว
ขณะเดียวกัน ปีหน้าค่ายไอทีแบรนด์ดังๆ จะเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี คาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนุนให้กำลังซื้อเติบโตขึ้น 6-10% จากปีนี้ที่อัตราเติบโตอยู่ระดับ 3% จากผลกระทบช่วงไตรมาส 2 ที่ตลาดชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายเติบโตไม่ถึง 1%
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ เผยว่า การปรับโฉมไอทีมอลล์ตามแผน 2 ปี ยังครอบคลุมถึงการจัดสรรพื้นที่เป็นโซนไอที สำหรับเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิเช่น โซนค้าส่งไอที ไอทีเพื่อครอบครัว ไอทีสำหรับเด็ก ซึ่งบริษัทจะยังคงเน้นลูกค้าเป้าหมายระดับบีขึ้นไป เพื่อรองรับกำลังซื้อของคนย่านรัชดา พระราม 9 ไปถึงอโศก ที่คาดว่าจะมีกำลังซื้อมากกว่า 7 แสนคน ที่สำคัญย่านดังกล่าว ยังมีคอนโด เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์เกิดขึ้นมาก จึงถือว่าเป็นทำเลทองของไอทีมอลล์
ปัจจุบัน ไอทีมอลล์ มีคนเดินเข้ามาชอปปิ้งสินค้าไอทีต่อวันราว 4 หมื่นคน หากช่วงไหนมีกิจกรรมยอดคนเดินจะเพิ่มขึ้นถึง 5 หมื่นคน โดยมีกำลังซื้อต่อปีไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ขณะที่ช่วงมีกิจกรรม ยอดขายจะสะพัดมากกว่า 100 ล้านบาทต่อสัปดาห์ ขณะที่อัตราเฉลี่ยของรายได้ของแต่ละร้านค้าต่อเดือน 1-2 แสนบาท
พันธุ์ทิพย์ปั้นลูกค้าระยะยาว
นายวิษณุ หวังวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์พัฒน อาร์เขต จำกัด ในกลุ่มบริษัท ทีซีซีแลนด์ และผู้บริหารศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซา กล่าวว่า บริษัทยังคงเน้นแผนการลงทุนเพื่อขยายสาขาเพิ่ม คือ สาขาใหม่ที่เอกมัย โดยจะเดินหน้าการก่อสร้าง "เกตเวย์ เอกมัย" ราวช่วงต้นปี ให้เป็นศูนย์การค้าที่รวมทั้งสินค้าไอที แฟชั่น ภายใต้คอนเซปต์ "เจแปนนิส มาร์เก็ต" บนพื้นที่ 7 ไร่ ถือเป็นไลฟ์สไตล์ มอลล์แห่งแรก ที่พันธุ์ทิพย์วางไว้ดึงกำลังซื้อย่านสุขุมวิท คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ปี 2554 ด้วยเงินลงทุนราว 2 พันล้านบาท
พร้อมกันนี้ ยังเริ่มปรับแผนใหม่ เน้นการเติมความสมบูรณ์ให้ตลาดมากขึ้น รวมทั้งการจุดกระแสให้เกิดการใช้งานอุปกรณ์ไอที รวมทั้งการกระตุ้นให้คนเห็นประโยชน์ของการใช้เครื่องมือไอทีมากกว่าซื้อตามแฟชั่น
เขาระบุว่า ในปี 2553 พันธุ์ทิพย์วางแผนเพิ่มกิจกรรมทางการตลาด และการจัดประกวดต่างๆ อาทิเช่น กิจกรรมประกวดทำหนังสั้น และประกวดพัฒนาเกม จากที่ผ่านมา มีกิจกรรมประกวดหุ่นยนต์อย่างเดียว ซึ่งบริษัทเชื่อว่า แผนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้คนเห็นคุณค่าของการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้เป็นอาชีพ หรือสร้างรายได้ในอนาคตได้
หวั่นการเมืองทำ "สะดุด"
อย่างไรก็ตาม เขาเผยว่าแม้ภาพรวมตลาดไอทีปีหน้าจะดูสดใสขึ้น และคาดว่าจะขยายตัวได้มากกว่า 20% แต่หากสถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง หรือมีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น จะส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากทำให้คนไม่เกิดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งแม้ระบบเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น แต่ถ้าปัจจัยภายในประเทศไม่ส่งเสริมก็เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมไม่สามารถขยายตัวได้
ปัจจุบัน พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ยังเป็นสาขาที่มียอดขายมากที่สุด ด้วยสัดส่วนรายได้ราว 70% ขณะที่ สาขาบางกะปิ และงามวงศ์วาน สร้างสัดส่วนรายได้ให้ 10% และ 20% ตามลำดับ ส่วนดิจิทัล เกตเวย์ ที่บริเวณสยามสแควร์ เพิ่งเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
ข่าวไอทีวันที่ 29 ธันวามคม 52
10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม'52
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร นวัตกรรมยังถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำธุรกิจยุคนี้ เพื่อผลักดันให้สังคมเกิดความตื่นตัวและสนใจในเรื่องนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น สำนักงาน นวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดประกาศผล “10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม ประจำปี 2552”
จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของภาคเอกชน และเห็นแนวโน้มของธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในประเทศไทย
ปีนี้ .... สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมที่พิจารณาจากโครงการที่ สนช. ให้การสนับสนุนทั้งสิ้น 432 โครงการ อันดับที่ 1 ตกเป็นของ “ดินสอ” หุ่นยนต์บริการอัจฉริยะ ของบริษัท ซีที เอเชีย โรโบ-ติกส์ จำกัด ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อใช้งานรับออร์ดอร์-เสิร์ฟอาหารในร้านเอ็มเคสุกี้ จำนวน 10 ตัว
นายทศพล อภิกุลวนิช หัวหน้าฝ่ายเทคนิค ของบริษัทซีที เอเชีย โรโบ-ติกส์ บอกถึงที่มาของหุ่นยนต์ฝีมือคนไทยตัวแรกที่ผลิตจำนวนในเชิงพาณิชย์ว่า เนื่องจากที่ผ่านมาเด็กไทยได้แชมป์ด้านการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกมากมาย แต่มักจะหยุดที่รางวัล ไม่ได้คิดที่จะพัฒนาต่อถึงการนำไปใช้ในชีวิตจริง บริษัทเห็นศักยภาพดังกล่าว และเพื่อต้องการจุดประกายให้เห็นว่านวัตกรรมเด็กไทยสามารถนำไปสู่การทำเป็นการค้าได้ จึงกล้าที่จะลงทุนในการทำวิจัยและผลิตหุ่นยนต์จากฝีมือนวัตกรรุ่นใหม่ โดยใช้ชื่อว่าหุ่นยนต์ดินสอ หรือหุ่นยนต์บริการ ที่สามารถใช้งานด้านการประชาสัมพันธ์ สามารถสื่อสารและโต้ตอบกับมนุษย์ได้ พูดภาษาไทยได้
ขนาดและความสามารถของหุ่นยนต์ต้นแบบ หากเปรียบเทียบตอนนี้จะเท่ากับเด็กประมาณ 8 ขวบ ซึ่งต่อไปจะมีการพัฒนาฟีเจอร์หรือความสามารถเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อย ๆ
นายทศพลบอกอีกว่า การได้รับการจัดอันดับเป็นสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมปีนี้ถือเป็นกำลังใจกับน้อง ๆ ทีมงาน ที่ผลงานและความสามารถได้รับการชื่นชม และถือเป็นตัวอย่างที่จะทำให้เด็ก ๆ กล้าที่จะคิดสร้างสรรค์ขณะเดียวกันก็เป็นตัวอย่างที่จะทำให้บริษัทต่าง ๆ กล้าที่จะลงทุนกับนวัตกรรมของเด็กไทยมากขึ้น
สำหรับสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมอันดับที่ 2 ได้แก่ผลงานที่เรียกว่า “ซีออส” แนวป้องกันการกัดเซาะพื้นที่ป่าชายเลน ของบริษัท ไทยไฮบริด จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างการยื่นขอจดสิทธิบัตร นวัตกรรมนี้เกิดขึ้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมตามแนวชายฝั่ง ทำจากไม้ประกอบพลาสติกที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรม ลดแรงปะทะของคลื่นทะเล สามารถถอดประกอบได้ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบแผ่นยางให้มีลักษณะคล้ายปะการังเพื่อดักตะกอนทราย และดินไม่ให้ไหลลงสู่ทะเลอีกด้วย
ส่วนอันดับ 3 คืออาหารเสริมสำเร็จรูปสำหรับเด็กเล็กจากข้าวที่ใช้ชื่อว่า “เบบี้ยัมมี่” ของบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด นวัตกรรมนี้ประยุกต์ข้าวผสมกล้วยน้ำว้าบด ภูมิปัญญาไทยแต่อดีตมาอยู่ในรูปของอาหารเสริมสำเร็จรูปที่เข้ากับวิถีการดำเนินชีวิตที่รีบเร่งของพ่อแม่ยุคใหม่มากขึ้น แถมผสมกับสารอาหารเพิ่มเติม ผ่านกระบวนการสเตอริไลส์เซชั่น แค่เปิดบรรจุภัณฑ์ก็รับประทานได้ทันที เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทยอีกด้วย
อันดับ 4 คือ “เจทีไอ” ถังคอมโพสิตบรรจุแก๊สแอลพีจี ของบริษัท อุตสาหกรรม จอบไท จำกัด ที่การันตีความสดใหม่ของแนวคิดด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรมระดับมืออาชีพประจำปี 2552 ของ สนช. โดยเป็นถังแก๊สที่ออกแบบขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกแทนถังที่ทำจากเหล็ก เน้นที่ความปลอดภัยในการใช้งาน รองรับแรงอัดสูง น้ำหนักเบา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและตัวถังโปร่งแสงทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นระดับแก๊สได้ว่าใกล้หมดเมื่อใด
สำหรับอันดับ 5 คือ “ไวท์ ฟาวเวอร์” น้ำผึ้งอินทรีย์ทางการแพทย์ ของบริษัท สยามเมียลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นนวัตกรรมการผลิตน้ำผึ้งอินทรีย์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล ซึ่งสามารถ วิเคราะห์คุณประโยชน์ทางการแพทย์ด้านการต้านอนุมูลอิสระได้ ส่วนอันดับ 6 เป็นนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตน้ำตาลเพื่อสุขภาพ ที่เรียกว่า “พาลาทีน” ของบริษัท น้ำตาลราชบุรี จำกัด เป็นน้ำตาลที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นเพียงเล็กน้อย ลดปัจจัยเสี่ยงของผู้เป็นโรคเบาหวาน และไม่ก่อให้เกิดฟันผุอีกด้วย
อันดับ 7 คือ “นีท” ก๋วยเตี๋ยวกึ่งสำเร็จรูปไร้ น้ำมัน ของโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว น. นิตย์ สวรรคโลก ซึ่งเป็นการพัฒนากระบวนการผลิตก๋วยเตี๋ยวให้ปราศจากน้ำมัน และทำเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เก็บไว้ได้นานไม่เหม็นหืนโดยไม่ต้องใส่วัตถุกันเสียนอกจากนี้ยังมีการเสริมคุณค่าทางอาหารเพิ่มเติม และอันดับ 8 คือ “เชอริช” ขนม ฟังก์ชันสำหรับสุนัข ของบริษัท อินโนเพ็ต โปรดักส์ จำกัด ซึ่งการพัฒนาอาหารสุนัขยุคใหม่ในรูปของอาหารฟังก์ชันที่ทำงานเฉพาะทั้งเรื่องของขน ผิวหนัง กระดูกข้อต่อ รวมถึงระบบขับถ่ายและระบบภายในของสุนัข
ส่วนอันดับ 9 คือ “ซีมูฟ” ระบบบริหารการขนส่งแบบต่อเนื่อง ของบริษัท ดี เอ็กซ์ อินโนเวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยพัฒนาเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริหารจัดการเส้นทางเดินรถ ซึ่งใช้ระบบจีพีเอสร่วมกับการสื่อสารแบบสองทางในการติดตามตำแหน่งรถและการทำงานของพนักงานขับรถ ระบบดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลการขนส่งด้วยรถบรรทุก เพื่อจัดสรรการขนส่งให้กับผู้ส่งสินค้าและผู้ให้บริการส่งสินค้า ให้บริการผ่านเว็บไซต์ ซึ่งจะเป็นการลดการวิ่งเที่ยวเปล่าและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า
และสุดท้ายอันดับ 10 คือ “ไบโอพลาสเทค” เครื่องเป่าขึ้นรูปฟิล์มพลาสติกชีวภาพแบบสามชั้น ของบริษัท อุตสาหกรรมถุงพลาสติคไทย จำกัด ที่ช่วยลดต้นทุนในการผลิตฟิล์มพลาสติกชีวภาพให้ถูกลง 20-30%
สำหรับการสนับสนุน โครงการนวัตกรรมปีที่ผ่านมา นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. กล่าวว่า สนช. ให้การสนับสนุนไปแล้วทั้งสิ้น 98 โครงการ วงเงินสนับสนุน 71.12 ล้านบาท ทั้งนี้ สนช.ให้ความสำคัญในนวัตกรรมที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพจากความได้เปรียบเชิงทรัพยากรของประเทศ นวัตกรรมที่สร้างทางเลือกเพื่อรับมือภาวะโลกร้อนและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยการออกแบบเชิงนวัตกรรม
คาดว่าการเชื่อมโยงเครือข่ายวิสาหกิจและเครือข่ายวิชาการอย่างบูรณาการ จะนำไปสู่การสร้าง “ระบบนิเวศนวัตกรรมแห่งชาติ” ที่เข้มแข็ง และสามารถยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างก้าวกระโดดและมีประสิทธิภาพต่อไป.
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร นวัตกรรมยังถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำธุรกิจยุคนี้ เพื่อผลักดันให้สังคมเกิดความตื่นตัวและสนใจในเรื่องนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น สำนักงาน นวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดประกาศผล “10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม ประจำปี 2552”
จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของภาคเอกชน และเห็นแนวโน้มของธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในประเทศไทย
ปีนี้ .... สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมที่พิจารณาจากโครงการที่ สนช. ให้การสนับสนุนทั้งสิ้น 432 โครงการ อันดับที่ 1 ตกเป็นของ “ดินสอ” หุ่นยนต์บริการอัจฉริยะ ของบริษัท ซีที เอเชีย โรโบ-ติกส์ จำกัด ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อใช้งานรับออร์ดอร์-เสิร์ฟอาหารในร้านเอ็มเคสุกี้ จำนวน 10 ตัว
นายทศพล อภิกุลวนิช หัวหน้าฝ่ายเทคนิค ของบริษัทซีที เอเชีย โรโบ-ติกส์ บอกถึงที่มาของหุ่นยนต์ฝีมือคนไทยตัวแรกที่ผลิตจำนวนในเชิงพาณิชย์ว่า เนื่องจากที่ผ่านมาเด็กไทยได้แชมป์ด้านการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกมากมาย แต่มักจะหยุดที่รางวัล ไม่ได้คิดที่จะพัฒนาต่อถึงการนำไปใช้ในชีวิตจริง บริษัทเห็นศักยภาพดังกล่าว และเพื่อต้องการจุดประกายให้เห็นว่านวัตกรรมเด็กไทยสามารถนำไปสู่การทำเป็นการค้าได้ จึงกล้าที่จะลงทุนในการทำวิจัยและผลิตหุ่นยนต์จากฝีมือนวัตกรรุ่นใหม่ โดยใช้ชื่อว่าหุ่นยนต์ดินสอ หรือหุ่นยนต์บริการ ที่สามารถใช้งานด้านการประชาสัมพันธ์ สามารถสื่อสารและโต้ตอบกับมนุษย์ได้ พูดภาษาไทยได้
ขนาดและความสามารถของหุ่นยนต์ต้นแบบ หากเปรียบเทียบตอนนี้จะเท่ากับเด็กประมาณ 8 ขวบ ซึ่งต่อไปจะมีการพัฒนาฟีเจอร์หรือความสามารถเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อย ๆ
นายทศพลบอกอีกว่า การได้รับการจัดอันดับเป็นสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมปีนี้ถือเป็นกำลังใจกับน้อง ๆ ทีมงาน ที่ผลงานและความสามารถได้รับการชื่นชม และถือเป็นตัวอย่างที่จะทำให้เด็ก ๆ กล้าที่จะคิดสร้างสรรค์ขณะเดียวกันก็เป็นตัวอย่างที่จะทำให้บริษัทต่าง ๆ กล้าที่จะลงทุนกับนวัตกรรมของเด็กไทยมากขึ้น
สำหรับสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมอันดับที่ 2 ได้แก่ผลงานที่เรียกว่า “ซีออส” แนวป้องกันการกัดเซาะพื้นที่ป่าชายเลน ของบริษัท ไทยไฮบริด จำกัด ซึ่งอยู่ระหว่างการยื่นขอจดสิทธิบัตร นวัตกรรมนี้เกิดขึ้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมตามแนวชายฝั่ง ทำจากไม้ประกอบพลาสติกที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรม ลดแรงปะทะของคลื่นทะเล สามารถถอดประกอบได้ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบแผ่นยางให้มีลักษณะคล้ายปะการังเพื่อดักตะกอนทราย และดินไม่ให้ไหลลงสู่ทะเลอีกด้วย
ส่วนอันดับ 3 คืออาหารเสริมสำเร็จรูปสำหรับเด็กเล็กจากข้าวที่ใช้ชื่อว่า “เบบี้ยัมมี่” ของบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด นวัตกรรมนี้ประยุกต์ข้าวผสมกล้วยน้ำว้าบด ภูมิปัญญาไทยแต่อดีตมาอยู่ในรูปของอาหารเสริมสำเร็จรูปที่เข้ากับวิถีการดำเนินชีวิตที่รีบเร่งของพ่อแม่ยุคใหม่มากขึ้น แถมผสมกับสารอาหารเพิ่มเติม ผ่านกระบวนการสเตอริไลส์เซชั่น แค่เปิดบรรจุภัณฑ์ก็รับประทานได้ทันที เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทยอีกด้วย
อันดับ 4 คือ “เจทีไอ” ถังคอมโพสิตบรรจุแก๊สแอลพีจี ของบริษัท อุตสาหกรรม จอบไท จำกัด ที่การันตีความสดใหม่ของแนวคิดด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรมระดับมืออาชีพประจำปี 2552 ของ สนช. โดยเป็นถังแก๊สที่ออกแบบขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกแทนถังที่ทำจากเหล็ก เน้นที่ความปลอดภัยในการใช้งาน รองรับแรงอัดสูง น้ำหนักเบา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและตัวถังโปร่งแสงทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นระดับแก๊สได้ว่าใกล้หมดเมื่อใด
สำหรับอันดับ 5 คือ “ไวท์ ฟาวเวอร์” น้ำผึ้งอินทรีย์ทางการแพทย์ ของบริษัท สยามเมียลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นนวัตกรรมการผลิตน้ำผึ้งอินทรีย์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล ซึ่งสามารถ วิเคราะห์คุณประโยชน์ทางการแพทย์ด้านการต้านอนุมูลอิสระได้ ส่วนอันดับ 6 เป็นนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตน้ำตาลเพื่อสุขภาพ ที่เรียกว่า “พาลาทีน” ของบริษัท น้ำตาลราชบุรี จำกัด เป็นน้ำตาลที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นเพียงเล็กน้อย ลดปัจจัยเสี่ยงของผู้เป็นโรคเบาหวาน และไม่ก่อให้เกิดฟันผุอีกด้วย
อันดับ 7 คือ “นีท” ก๋วยเตี๋ยวกึ่งสำเร็จรูปไร้ น้ำมัน ของโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว น. นิตย์ สวรรคโลก ซึ่งเป็นการพัฒนากระบวนการผลิตก๋วยเตี๋ยวให้ปราศจากน้ำมัน และทำเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เก็บไว้ได้นานไม่เหม็นหืนโดยไม่ต้องใส่วัตถุกันเสียนอกจากนี้ยังมีการเสริมคุณค่าทางอาหารเพิ่มเติม และอันดับ 8 คือ “เชอริช” ขนม ฟังก์ชันสำหรับสุนัข ของบริษัท อินโนเพ็ต โปรดักส์ จำกัด ซึ่งการพัฒนาอาหารสุนัขยุคใหม่ในรูปของอาหารฟังก์ชันที่ทำงานเฉพาะทั้งเรื่องของขน ผิวหนัง กระดูกข้อต่อ รวมถึงระบบขับถ่ายและระบบภายในของสุนัข
ส่วนอันดับ 9 คือ “ซีมูฟ” ระบบบริหารการขนส่งแบบต่อเนื่อง ของบริษัท ดี เอ็กซ์ อินโนเวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยพัฒนาเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริหารจัดการเส้นทางเดินรถ ซึ่งใช้ระบบจีพีเอสร่วมกับการสื่อสารแบบสองทางในการติดตามตำแหน่งรถและการทำงานของพนักงานขับรถ ระบบดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลการขนส่งด้วยรถบรรทุก เพื่อจัดสรรการขนส่งให้กับผู้ส่งสินค้าและผู้ให้บริการส่งสินค้า ให้บริการผ่านเว็บไซต์ ซึ่งจะเป็นการลดการวิ่งเที่ยวเปล่าและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า
และสุดท้ายอันดับ 10 คือ “ไบโอพลาสเทค” เครื่องเป่าขึ้นรูปฟิล์มพลาสติกชีวภาพแบบสามชั้น ของบริษัท อุตสาหกรรมถุงพลาสติคไทย จำกัด ที่ช่วยลดต้นทุนในการผลิตฟิล์มพลาสติกชีวภาพให้ถูกลง 20-30%
สำหรับการสนับสนุน โครงการนวัตกรรมปีที่ผ่านมา นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. กล่าวว่า สนช. ให้การสนับสนุนไปแล้วทั้งสิ้น 98 โครงการ วงเงินสนับสนุน 71.12 ล้านบาท ทั้งนี้ สนช.ให้ความสำคัญในนวัตกรรมที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพจากความได้เปรียบเชิงทรัพยากรของประเทศ นวัตกรรมที่สร้างทางเลือกเพื่อรับมือภาวะโลกร้อนและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยการออกแบบเชิงนวัตกรรม
คาดว่าการเชื่อมโยงเครือข่ายวิสาหกิจและเครือข่ายวิชาการอย่างบูรณาการ จะนำไปสู่การสร้าง “ระบบนิเวศนวัตกรรมแห่งชาติ” ที่เข้มแข็ง และสามารถยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างก้าวกระโดดและมีประสิทธิภาพต่อไป.
ข่าวไอทีวันที่ 28 ธันวามคม 52
′แบล็คเบอร์รี่′ติดลมบนบิ๊กซี หั่นราคาชนมาบุญครอง ผ่อน0%เตือนระวังเครื่องปลอมระบาด !
"บีบี-แบล็คเบอร์รี่" ติดลมบน ดิสเคานต์สโตร์ "บิ๊กซี" ไม่ยอมตกขบวน หั่นราคา "Curve 8520" เหลือแค่ 11,900 บาท แถมผ่อน 0% นาน 10 เดือน "ดีแทค" ขายเดือนเดียวทะลุ 2 หมื่นเครื่อง "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจตลาดเกรย์มาร์เก็ต "มาบุญครอง" ยังขายได้เรื่อย ๆ แถมพบเครื่องปลอมใช้ 2 ซิม ดูทีวีได้ ราคา 4-5 พันกว่าบาท ยักษ์ใหญ่ "โนเกีย" เผยสถานการณ์เครื่องปลอมระบาดหนัก เตือนผู้บริโภคระมัดระวัง !!
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างวันที่ 24-31 ธันวาคม 2552 บิ๊กซี ซูเปอร์ สโตร์ ได้จัดแคมเปญ "ช้อปสนุก ถูกชัวร์" นำโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้ามาวางจำหน่ายในราคาพิเศษ พร้อมโปรแกรมเงินผ่อน 0% หลายรายการ แต่ที่น่าสนใจเป็นโทรศัพท์มือถือแบล็คเบอร์รี่ รุ่น Curve 8520 ที่ราคา 11,900 บาท พร้อมโปรแกรมเงินผ่อนกับเฟิร์สช้อยส์ในเครือจีอี 0% นาน 10 เดือน (เดือนละ 1,190 บาท) ซึ่งราคาดังกล่าวต่ำกว่าที่ 3 ค่ายมือถือที่ได้รับสิทธิในการทำตลาดขายอยู่ในขณะนี้
โดยที่ดีแทคขายเครื่องรุ่น Curve 8250 ที่ 12,999 บาท ไม่รวมภาษี เว้นแต่จะสมัครแพ็กเกจเหมาจ่ายรายปีจึงจะสามารถซื้อเครื่องได้ในราคา 9,999 บาท ขณะที่ทรูมูฟจำหน่ายเครื่องเปล่ารุ่น Curve 8520 ที่ราคา 13,900 บาท เช่นเดียวกับเอไอเอสขายที่ 13,900 บาท อย่างไรก็ตามไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสินค้าดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากแหล่งจำหน่ายใด
แหล่งข่าวจาก บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อถึงสิ้นเดือนธันวาคมน่าจะทำยอดขายแบล็คเบอร์รี่ได้ถึง 20,000 เครื่อง ภายในเดือนเดียว จึงถือว่าประสบความสำเร็จมาก
ด้านนายปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และรองหัวหน้ากลุ่มคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า แบล็คเบอร์รี่รุ่น Bold ของทรูหมดสต๊อกแล้ว โดยมียอดขายในปี 2552 ประมาณ 5,000 เครื่อง ยังเหลือรุ่น Curve อีกประมาณ 5,000 เครื่อง ส่วนลอตใหม่ที่จะมาต้นปี 2553 เป็น Bold รุ่นใหม่ที่เริ่มวางขายในต่างประเทศแล้ว
"สำหรับกลุ่มทรูผมให้นโยบายว่า โทรศัพท์ที่จะนำเข้ามาขายต้องรองรับการใช้ 3G และ Wi-Fi เราจึงเน้นไปที่รุ่น Bold เป็นหลัก ตอนนี้ก็ขายหมดแล้ว รอรุ่นใหม่อย่างเดียว ซึ่งตัวนี้ถ้าได้สัมผัสและใช้งานจะรู้ว่าสมบูรณ์แบบ และให้ความรู้สึกต่างจากรุ่น Curve มาก"
นายปพนธ์กล่าวถึงกระแสของแบล็คเบอร์รี่ที่มีการพูดถึงมากเพราะมีการทำโฆษณาเยอะ และการที่ออกรุ่น Curve ทำให้บางรายพยายามนำมาสร้างเป็นจุดขาย อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบสัดส่วนกับไอโฟนที่ไม่ค่อยมีการโฆษณา ไอโฟนยังมียอดขาย 3 ต่อ 1 ขณะที่ผู้ใช้ในตลาดมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าองค์กรเน้นไปที่การใช้ push mail มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น แต่สำหรับลูกค้าทั่วไปที่ใช้ BB messenger มีลักษณะเป็นคอมมิวนิตี้ เชื่อว่าอีกประมาณครึ่งปีกระแสความแรงน่าจะลดลงในลูกค้ากลุ่มนี้
ล่าสุดทรูได้ทำโปรโมชั่นฉลองยอดขายไอโฟนครบ 1 แสนเครื่อง โดยลดราคาเครื่อง 8 GB จาก 19,900 บาท เหลือ 18,900 บาท รุ่น 16 GB จาก 24,500 บาท เหลือ 22,900 บาท และ 32 GB จาก 28,500 เหลือ 26,400 บาท ตั้งแต่ 24-31 ธ.ค. 2552 เท่านั้น คาดว่าจะมียอดขายจากโปรโมชั่นนี้ 5,000 เครื่อง
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจตลาดเกรย์มาร์เก็ตที่ห้างดัง "มาบุญครอง" พบว่าแบล็คเบอร์รี่เครื่องหิ้วยังได้รับความนิยมอยู่เช่นเดิม โดยเจ้าของร้าน "แอปเปิ้ลโฟน" ยอมรับว่า แบล็คเบอร์รี่มาแรงมาก มีผู้นิยมหาซื้อ บางรายใช้งาน 3-6 เดือน ก็เริ่มเปลี่ยนรุ่นแล้ว แต่ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ คือ Curve 8900 ที่ราคาประมาณ 13,900 บาท ต่างจากเครื่องศูนย์ (บริษัทผู้ให้บริการมือถือ) ที่ขาย 20,900 บาท ขณะที่ Cruve 8520 มีราคาระหว่าง 10,500-10,900 บาท ขึ้นอยู่กับร้าน แต่หากเป็นสีขาวราคาจะแพงขึ้น 1 พันบาท
"ที่ Cruve ขายดีเพราะราคาไม่แพงทำให้คนตัดสินใจซื้อง่าย เมื่อบวกอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น แป้นพิมพ์ภาษาไทย ไมโครเอสดีการ์ดแล้วก็ยังถูกกว่าเครื่องศูนย์ เช่น ที่เอไอเอสขายที่ 13,900 บาท"
นอกจากนี้รุ่น Bold ที่มาบุญครองขายที่ 16,900 บาท ขณะที่เครื่องศูนย์ราคา 23,900 บาท รวมถึงรุ่น Tour ราคา 15,900 บาท เป็นรุ่นที่ยังไม่มีโอเปอเรเตอร์รายใดนำเข้ามาทำตลาด
"แม้ดีแทคจะเปิดตัวราคา 9,900 บาทออกมา แต่มาบุญครองก็ยังขายดีเหมือนเดิม เพราะดีแทคต้องผูกสัญญารายปี คิดราคารวม ๆ แล้วแพงกว่าซื้อที่นี่ เครื่องนอกใช้กับค่ายใดก็ได้ คนจึงยังมาซื้อที่มาบุญครองเยอะเหมือนเดิม แต่การปรับราคาสินค้าขึ้นหรือลงขึ้นกับต้นทุนที่รับมาและจำนวนสินค้าที่มีในตลาด"
นอกจากนี้ทางร้านยังมีบริการเปลี่ยนคีย์แพตภาษาไทย โดยคิดราคาของแท้ 900 บาท หากเป็นของเทียม 400 บาท แต่อายุการใช้งานจะสั้นกว่าและตัวอักษรลบเลือนง่าย
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ความแรงของแบล็คเบอร์รี่นอกจากจะทำให้ยอดขายที่มาบุญครองยังมีอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้มีเครื่องเลียนแบบออกมาวางจำหน่ายด้วย โดยก๊อบปี้ทั้งแบรนด์และรูปลักษณ์ ในรุ่น Curve 8520 เมื่อมองด้วยสายตาแทบไม่เห็นถึงความแตกต่าง แต่ในแง่ฟังก์ชั่นและราคาต่างมาก คือ เป็นเครื่องที่ดูทีวีและใช้ 2 ซิมได้ แต่ไม่มีโปรแกรมบีบีแชต ราคาอยู่ที่ 4-5.5 พันบาท
จากการสอบถามร้านค้าที่จำหน่าย "บีบีเลียนแบบ" พบว่ากลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นนักศึกษาและคนทั่วไปที่อยากถือแบล็คเบอร์รี่ในราคาที่เอื้อมถึง
อย่างไรก็ตามในรายของยักษ์ใหญ่ "โนเกีย" ได้ประสบปัญหาดังกล่าวเช่นกัน นายชูมิท คาพูร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือปลอมแปลงจำนวนมากวางจำหน่ายจึงขอแนะนำให้ผู้บริโภคเลือกซื้ออย่างระมัดระวัง โดยระบุว่า มีการปลอมแปลงหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งการใช้ตราสินค้าโนเกีย ทั้งรุ่นที่มีและไม่มีอยู่จริงในตลาด รวมทั้งการใช้ตราสินค้าอื่น ๆ ใกล้เคียงชื่อโนเกีย โดยเจตนาสร้างความสับสนให้ผู้บริโภค
มือถือปลอมแปลงดังกล่าวยังมีช่องทางและวิธีการจำหน่ายที่สลับซับซ้อนมากขึ้น อาทิ การจำหน่ายสินค้าออนไลน์ จำหน่ายในตู้ขายสินค้าขนาดเล็ก และจำหน่ายในร้านขายมือถือทั่วไป โดยอ้างว่า เป็นสินค้าราคาขายส่งจึงมีราคาถูก วางจำหน่ายปะปนกับสินค้าทั้งของจริงและของปลอม ซึ่งผู้บริโภคต้องพิจารณาอย่างละเอียด โดยสามารถตรวจสอบได้ที่โนเกียช้อปทุกสาขา โนเกียแคร์ไลน์ 0-2 255-2111 หรือ www.nokia.co.th
ข่าวไอทีวันที่ 25 ธันวาคม 52
ทวิตเตอร์ซื้อบริษัทใหม่ ปูทางทำแผนที่"ทวีต"
ทวิตเตอร์ (Twitter) บริการรับส่งข้อความบล็อกสั้นออนไลน์ยอดฮิตประกาศซื้อบริษัทเกิดใหม่นาม "มิกเซอร์แลปส์ (Mixer Labs)" เพื่อเตรียมเปิดให้บริการระบบแผนที่เพื่อระบุตำแหน่งที่ผู้ใช้ทำการทวีต (Tweet) หรือส่งข้อความ คาดว่าจะทำให้เกิดการต่อยอดด้านธุรกิจจนอาจทำให้ทวิตเตอร์สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้มากขึ้นในปีหน้า
ตามคาด ทวิตเตอร์ไม่เปิดเผยรายละเอียดด้านการเงินว่าซื้อบริษัทมิกเซอร์แลปส์ไปด้วยเงินมูลค่าเท่าใด
มิกเซอร์แลปส์นั้นก่อตั้งโดยอดีตพนักงานกูเกิล (Google) สองรายซึ่งอยู่เบื้องหลังการพัฒนาระบบติดตามตำแหน่งหรือ location-tracking tool ซึ่งกูเกิลให้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า GeoAPI จุดนี้อีวาน วิลเลียมส์ (Evan Williams) ซีอีโอทวิตเตอร์เชื่อมั่นว่า GeoAPI คือข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่าระบบแผนที่นั้นมีประโยชน์จริง ซึ่งการแสดงตำแหน่งสถานที่ ณ จุดที่ผู้บริโภคลงมือแบ่งปันสิ่งที่เห็นหรือบอกเล่าประสบการณ์ที่กำลังพบเจออยู่นั้นสามารถนำไปต่อยอดบริการอื่นๆได้อีกไม่รู้จบ
ทวิตเตอร์นั้นเป็นบริการรับส่งข้อความสั้นความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ที่ผู้ใช้จะสามารถบอกเล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น เสน่ห์ของทวิตเตอร์อยู่ที่สมาชิกทุกคนสามารถเปิดกว้างให้สมาชิกรายอื่นเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวของตัวเองได้อย่างใกล้ชิดตลอดวัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือสมาชิกสามารถรับรู้ข่าวสารจากบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นสมาชิกของทวิตเตอร์ได้ทั้งดารา นักร้อง นักกีฬา นักการเมือง ฯลฯ
ขณะนี้ทวิตเตอร์มีสมาชิกราว 58 ล้านคนทั่วโลก หลังจากก่อตั้งบริษัทที่ซานฟรานซิสโกเมื่อ 3 ปีที่แล้วหรือปี 2006
ทวิตเตอร์ (Twitter) บริการรับส่งข้อความบล็อกสั้นออนไลน์ยอดฮิตประกาศซื้อบริษัทเกิดใหม่นาม "มิกเซอร์แลปส์ (Mixer Labs)" เพื่อเตรียมเปิดให้บริการระบบแผนที่เพื่อระบุตำแหน่งที่ผู้ใช้ทำการทวีต (Tweet) หรือส่งข้อความ คาดว่าจะทำให้เกิดการต่อยอดด้านธุรกิจจนอาจทำให้ทวิตเตอร์สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้มากขึ้นในปีหน้า
ตามคาด ทวิตเตอร์ไม่เปิดเผยรายละเอียดด้านการเงินว่าซื้อบริษัทมิกเซอร์แลปส์ไปด้วยเงินมูลค่าเท่าใด
มิกเซอร์แลปส์นั้นก่อตั้งโดยอดีตพนักงานกูเกิล (Google) สองรายซึ่งอยู่เบื้องหลังการพัฒนาระบบติดตามตำแหน่งหรือ location-tracking tool ซึ่งกูเกิลให้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า GeoAPI จุดนี้อีวาน วิลเลียมส์ (Evan Williams) ซีอีโอทวิตเตอร์เชื่อมั่นว่า GeoAPI คือข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่าระบบแผนที่นั้นมีประโยชน์จริง ซึ่งการแสดงตำแหน่งสถานที่ ณ จุดที่ผู้บริโภคลงมือแบ่งปันสิ่งที่เห็นหรือบอกเล่าประสบการณ์ที่กำลังพบเจออยู่นั้นสามารถนำไปต่อยอดบริการอื่นๆได้อีกไม่รู้จบ
ทวิตเตอร์นั้นเป็นบริการรับส่งข้อความสั้นความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ที่ผู้ใช้จะสามารถบอกเล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น เสน่ห์ของทวิตเตอร์อยู่ที่สมาชิกทุกคนสามารถเปิดกว้างให้สมาชิกรายอื่นเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวของตัวเองได้อย่างใกล้ชิดตลอดวัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือสมาชิกสามารถรับรู้ข่าวสารจากบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นสมาชิกของทวิตเตอร์ได้ทั้งดารา นักร้อง นักกีฬา นักการเมือง ฯลฯ
ขณะนี้ทวิตเตอร์มีสมาชิกราว 58 ล้านคนทั่วโลก หลังจากก่อตั้งบริษัทที่ซานฟรานซิสโกเมื่อ 3 ปีที่แล้วหรือปี 2006
ข่าวไอทีวันที่ 24 ธันวาคม 52
ศาลสั่งเลิกขาย"MS Word" ไมโครซอฟท์ไว แก้ไขใหม่ขายทันปีหน้า
ไมโครซอฟท์แพ้อุทธรณ์ เมื่อศาลยืนยันคำตัดสินให้ไมโครซอฟท์หยุดจำหน่ายซอฟต์แวร์สร้างเอกสารยอดนิยม "ไมโครซอฟท์เวิร์ด (Microsoft Word)" ในเดือนมกราคมคมที่จะถึงนี้ เท่านั้นไม่พอ ศาลยังสั่งให้ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์จ่ายค่าเสียหายให้บริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติแคนาดามูลค่า 290 ล้านเหรียญด้วย เพื่อเป็นค่าลิขสิทธิเทคโนโลยีย้อนหลัง ด้านไมโครซอฟท์ออกตัวไว ระบุว่าได้แก้ไขด้วยการพัฒนาเวิร์ดเวอร์ชันใหม่ที่ถอดส่วนที่มีปัญหาละเมิดสิทธิบัตรออกไปแล้ว คาดว่าจะวางจำหน่ายได้ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมที่จะถึงนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้แฟนไมโครซอฟท์ในสหรัฐฯยังคงสามารถซื้อหาโปรแกรมออฟฟิศไว้ใช้งานได้ต่อไป แม้ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯจะตัดสินให้ไมโครซอฟท์เลิกจำหน่ายซอฟต์แวร์เวิร์ดเช่นเดียวกับที่ศาลชั้นต้นพิจารณา
คำตัดสินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะไมโครซอฟท์นั้นยื่นอุทธรณ์ต่อศาลไปตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากบริษัทไอโฟร์ไอ (i4i) อ้างความเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเทคโนโลยีการสร้างเอกสาร XML ซึ่งไมโครซอฟท์บรรจุไว้ในโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ดเวอร์ชัน 2003 และ 2007
ไอโฟร์ไอระบุว่าไมโครซอฟท์นำเทคโนโลยีของไอโฟร์ไอไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงฟ้องต่อศาลรัฐเท็กซัสตั้งแต่ปี 2007 โดยขอให้ไมโครซอฟท์หยุดจำหน่ายโปรแกรมทั้งสองเวอร์ชันในสหรัฐฯภายใน 60 วัน ซึ่งศาลได้ตัดสินให้ไมโครซอฟท์แพ้คดีและชำระค่าเสียหายให้ไอโฟร์ไอมูลค่า 290 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์จึงยื่นอุทธรณ์ในเดือนกันยายน และพ่ายแพ้จนได้รับคำตัดสินเดิมในขณะนี้
ท่าทางไมโครซอฟท์จะไม่สะเทือนกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าชาวสหรัฐฯจะสามารถซื้อหาโปรแกรมเวิร์ด 2007 เวอร์ชันใหม่มาใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2010 เวิร์ดเวอร์ชันพิเศษนี้จะปรับปรุงให้ไม่ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีของไอโฟร์ไอ และจะวางจำหน่ายแทนเวอร์ชันเก่าอย่างเป็นทางการ
สำหรับโปรแกรมเวิร์ดและชุดโปรแกรมออฟฟิศเวอร์ชัน 2010 ไมโครซอฟท์ระบุว่าในเวอร์ชันทดลองหรือ Beta นั้นไม่มีส่วนประกอบของเทคโนโลยีที่กำลังเป็นปัญหาใดๆ เชื่อว่าจะสามารถวางตลาดได้ในปีหน้าตามกำหนด
ไมโครซอฟท์ทิ้งท้ายว่า จะยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาสหรัฐฯ เพื่อขอความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด โดยยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัดอื่นๆในขณะนี้
ไมโครซอฟท์แพ้อุทธรณ์ เมื่อศาลยืนยันคำตัดสินให้ไมโครซอฟท์หยุดจำหน่ายซอฟต์แวร์สร้างเอกสารยอดนิยม "ไมโครซอฟท์เวิร์ด (Microsoft Word)" ในเดือนมกราคมคมที่จะถึงนี้ เท่านั้นไม่พอ ศาลยังสั่งให้ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์จ่ายค่าเสียหายให้บริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติแคนาดามูลค่า 290 ล้านเหรียญด้วย เพื่อเป็นค่าลิขสิทธิเทคโนโลยีย้อนหลัง ด้านไมโครซอฟท์ออกตัวไว ระบุว่าได้แก้ไขด้วยการพัฒนาเวิร์ดเวอร์ชันใหม่ที่ถอดส่วนที่มีปัญหาละเมิดสิทธิบัตรออกไปแล้ว คาดว่าจะวางจำหน่ายได้ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมที่จะถึงนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้แฟนไมโครซอฟท์ในสหรัฐฯยังคงสามารถซื้อหาโปรแกรมออฟฟิศไว้ใช้งานได้ต่อไป แม้ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯจะตัดสินให้ไมโครซอฟท์เลิกจำหน่ายซอฟต์แวร์เวิร์ดเช่นเดียวกับที่ศาลชั้นต้นพิจารณา
คำตัดสินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะไมโครซอฟท์นั้นยื่นอุทธรณ์ต่อศาลไปตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากบริษัทไอโฟร์ไอ (i4i) อ้างความเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเทคโนโลยีการสร้างเอกสาร XML ซึ่งไมโครซอฟท์บรรจุไว้ในโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ดเวอร์ชัน 2003 และ 2007
ไอโฟร์ไอระบุว่าไมโครซอฟท์นำเทคโนโลยีของไอโฟร์ไอไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงฟ้องต่อศาลรัฐเท็กซัสตั้งแต่ปี 2007 โดยขอให้ไมโครซอฟท์หยุดจำหน่ายโปรแกรมทั้งสองเวอร์ชันในสหรัฐฯภายใน 60 วัน ซึ่งศาลได้ตัดสินให้ไมโครซอฟท์แพ้คดีและชำระค่าเสียหายให้ไอโฟร์ไอมูลค่า 290 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์จึงยื่นอุทธรณ์ในเดือนกันยายน และพ่ายแพ้จนได้รับคำตัดสินเดิมในขณะนี้
ท่าทางไมโครซอฟท์จะไม่สะเทือนกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าชาวสหรัฐฯจะสามารถซื้อหาโปรแกรมเวิร์ด 2007 เวอร์ชันใหม่มาใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2010 เวิร์ดเวอร์ชันพิเศษนี้จะปรับปรุงให้ไม่ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีของไอโฟร์ไอ และจะวางจำหน่ายแทนเวอร์ชันเก่าอย่างเป็นทางการ
สำหรับโปรแกรมเวิร์ดและชุดโปรแกรมออฟฟิศเวอร์ชัน 2010 ไมโครซอฟท์ระบุว่าในเวอร์ชันทดลองหรือ Beta นั้นไม่มีส่วนประกอบของเทคโนโลยีที่กำลังเป็นปัญหาใดๆ เชื่อว่าจะสามารถวางตลาดได้ในปีหน้าตามกำหนด
ไมโครซอฟท์ทิ้งท้ายว่า จะยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาสหรัฐฯ เพื่อขอความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด โดยยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัดอื่นๆในขณะนี้
ข่าวไอทีวันที่ 23 ธันวาคม 52
เดลล์ (Dell) และฟูจิตสึ (Fujitsu) ไวปานสายฟ้า เปิดตัวผลิตภัณฑ์เน็ตบุ๊กพร้อมชิป Atom รุ่นใหม่ล่าสุดเพียง 1 วันให้หลังจากที่อินเทล (Intel) เพิ่งประกาศเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา จากการตรวจสอบสเปกเครื่องพบว่าชิปใหม่ทำให้เน็ตบุ๊กมีขนาดเล็กลง ประสิทธิภาพมากขึ้น และมีอายุใช้งานแบตเตอรี่นานยิ่งขึ้น
ฟูจิตสึนั้นเปิดตัวเน็ตบุ๊กดีไซน์หรู LifeBook MH380 ในเวลาไล่เลี่ยกับเดลล์ที่หยิบ Mini 10 มาปัดฝุ่นใหม่ ทั้ง 2 รุ่นถูกโฆษณาจุดขายที่ชิป Atom N450 ชิป Atom รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กลง โดย Atom N450 แบบคอร์เดียวหรือซิงเกิลคอร์นั้นมีขนาดเล็กกว่า Atom รุ่นปกติถึง 60% และใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 20% ตามข้อมูลจากอินเทล
แม้จะถูกเรียกขานเป็นเน็ตบุ๊กที่ชื่อบ่งบอกว่าเป็นคอมพิวเตอร์แลปท็อปราคาประหยัด ขนาดเล็ก และเน้นการใช้งานอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันพื้นฐานเป็นหลัก แต่ Mini 10 นั้นถูกเพิ่มความสามารถในการรองรับวิดีโอความละเอียดสูงเข้ามาด้วย สนนราคาจำหน่ายคือ 299 เหรียญสหรัฐ (ราว 10,200 บาท) หน้าจอ 10.1 นิ้ว การันตีอายุแบตเตอรี่ 9.5 ชั่วโมง
เบื้องหลังของการรองรับวิดีโอความละเอียดสูงอยู่ที่ชิป Atom N450 ที่รองรับกราฟฟิกความละเอียด 720p ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานของภาพวิดีโอความละเอียดสูง โดยใน Mini 10 รุ่นปรับปรุงใหม่ เดลล์ได้เพิ่มหน้าจอและชิปประมวลผลภาพความละเอียดสูงเพื่อเพิ่มความสามารถให้รองรับวิดีโอความละเอียด 1080p ได้ เทียบชั้นวิดีโอความละเอียดสูงเต็มขั้น
นอกจากนี้ เดลล์ยังติดตั้งจูนเนอร์ความละเอียดสูงเพื่อรับสัญญาณภาพโทรทัศน์ด้วย ฮาร์ดดิสก์ภายในความจุ 250GB มาพร้อม Wi-Fi และ GPS ส่วนบลูทูธและการเชื่อมต่อบรอดแบนด์นั้นเป็นออปชันเสริม
Mini 10 รุ่นปรับปรุงใหม่มีน้ำหนักราว 2.75 ปอนด์ มาพร้อมโอเอสให้เลือกระหว่าง Windows 7 Starter, Windows XP Home หรือ Ubuntu เริ่มจัดส่งเพื่อจำหน่ายจริงในเดือนมกราคมนี้
ด้านฟูจิตซึนั้นเปิดตัว Lifebook MH380 ซึ่งการันตีว่ามีประสิทธิภาพการประมวลผลและกราฟฟิกดีขึ้นกว่าเดิม สนนราคา 449 เหรียญ (ราว 15,300 บาท) น้ำหนัก 2.97 ปอนด์ หน้าจอ 10.1 นิ้ว แบตเตอรี่ 6 เซลล์ การันตีแบตเตอรี่ 7 ชั่วโมง
Lifebook MH380 มาพร้อมชุดซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสาร Mobile office สามารถรองรับ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11b/g/n บลูทูธ และฮาร์ดไดร์ฟ 250GB มีสีน้ำตาล ขาว และดำ พร้อมวางจำหน่ายในเดือนมกราคมเช่นกัน
นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังการเปิดตัวชิป Atom รุ่นใหม่ของอินเทล ได้แก่รุ่นซิงเกิลคอร์ 2 รุ่น และดูอัลคอร์ 1 รุ่น ทุกรุ่นวิ่งที่ความถี่ 1.66 GHz
ซิงเกิลคอร์ 2 รุ่นได้แก่ N450 และ D410 ขณะที่ดูอัลคอร์ 1 รุ่นคือ D510 อักษร N นั้นหมายถึงสำหรับเน็ตบุ๊ก และ D หมายถึงสำหรับเดสก์ท็อป ทั้งหมดจะถูกจับคู่กับชิปเซ็ตใหม่ NM10 Express Chipset โดยอินเทลการันตีว่าชิป Atom ใหม่ทั้ง 3 รุ่นนี้เป็นชิป x86 รุ่นแรกที่มีการรวมหน่วยประมวลผล (CPU) และหน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPU) ไว้ด้วยกันจนทำให้ไม่ต้องมีหน่วยควบคุมการอินพุต-เอาท์พุตแยกต่างหากอย่างในชิปรุ่นก่อนๆ
N450 มาพร้อมแคช L2 512KB เท่ากับ D410 แต่รุ่นหลังกินไฟมากกว่า ขณะที่ D510 มาพร้อมแคช L2 1MB กินไฟมากที่สุด ทั้งสามรุ่นมีชื่อรหัสว่า Pineview เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Pine Trail ซึ่งอินเทลวางไว้สำหรับอัปเดทชิปรุ่นใหญ่อื่นๆในอนาคต
นอกจากเดลล์และฟูจิตสึ ยังมีอัสซุส เอเซอร์ เลอโนโว โตชิบา และซัมซุง รวมถึงผู้ผลิตรายอื่นๆที่มีแผนออกคอมพิวเตอร์พร้อมชิปรุ่นใหม่ในปีหน้า ทำให้ตลาดเน็ตบุ๊กมีวี่แววจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังซบเซามาระยะหนึ่ง
ฟูจิตสึนั้นเปิดตัวเน็ตบุ๊กดีไซน์หรู LifeBook MH380 ในเวลาไล่เลี่ยกับเดลล์ที่หยิบ Mini 10 มาปัดฝุ่นใหม่ ทั้ง 2 รุ่นถูกโฆษณาจุดขายที่ชิป Atom N450 ชิป Atom รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กลง โดย Atom N450 แบบคอร์เดียวหรือซิงเกิลคอร์นั้นมีขนาดเล็กกว่า Atom รุ่นปกติถึง 60% และใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 20% ตามข้อมูลจากอินเทล
แม้จะถูกเรียกขานเป็นเน็ตบุ๊กที่ชื่อบ่งบอกว่าเป็นคอมพิวเตอร์แลปท็อปราคาประหยัด ขนาดเล็ก และเน้นการใช้งานอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันพื้นฐานเป็นหลัก แต่ Mini 10 นั้นถูกเพิ่มความสามารถในการรองรับวิดีโอความละเอียดสูงเข้ามาด้วย สนนราคาจำหน่ายคือ 299 เหรียญสหรัฐ (ราว 10,200 บาท) หน้าจอ 10.1 นิ้ว การันตีอายุแบตเตอรี่ 9.5 ชั่วโมง
เบื้องหลังของการรองรับวิดีโอความละเอียดสูงอยู่ที่ชิป Atom N450 ที่รองรับกราฟฟิกความละเอียด 720p ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานของภาพวิดีโอความละเอียดสูง โดยใน Mini 10 รุ่นปรับปรุงใหม่ เดลล์ได้เพิ่มหน้าจอและชิปประมวลผลภาพความละเอียดสูงเพื่อเพิ่มความสามารถให้รองรับวิดีโอความละเอียด 1080p ได้ เทียบชั้นวิดีโอความละเอียดสูงเต็มขั้น
นอกจากนี้ เดลล์ยังติดตั้งจูนเนอร์ความละเอียดสูงเพื่อรับสัญญาณภาพโทรทัศน์ด้วย ฮาร์ดดิสก์ภายในความจุ 250GB มาพร้อม Wi-Fi และ GPS ส่วนบลูทูธและการเชื่อมต่อบรอดแบนด์นั้นเป็นออปชันเสริม
Mini 10 รุ่นปรับปรุงใหม่มีน้ำหนักราว 2.75 ปอนด์ มาพร้อมโอเอสให้เลือกระหว่าง Windows 7 Starter, Windows XP Home หรือ Ubuntu เริ่มจัดส่งเพื่อจำหน่ายจริงในเดือนมกราคมนี้
ด้านฟูจิตซึนั้นเปิดตัว Lifebook MH380 ซึ่งการันตีว่ามีประสิทธิภาพการประมวลผลและกราฟฟิกดีขึ้นกว่าเดิม สนนราคา 449 เหรียญ (ราว 15,300 บาท) น้ำหนัก 2.97 ปอนด์ หน้าจอ 10.1 นิ้ว แบตเตอรี่ 6 เซลล์ การันตีแบตเตอรี่ 7 ชั่วโมง
Lifebook MH380 มาพร้อมชุดซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสาร Mobile office สามารถรองรับ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11b/g/n บลูทูธ และฮาร์ดไดร์ฟ 250GB มีสีน้ำตาล ขาว และดำ พร้อมวางจำหน่ายในเดือนมกราคมเช่นกัน
นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังการเปิดตัวชิป Atom รุ่นใหม่ของอินเทล ได้แก่รุ่นซิงเกิลคอร์ 2 รุ่น และดูอัลคอร์ 1 รุ่น ทุกรุ่นวิ่งที่ความถี่ 1.66 GHz
ซิงเกิลคอร์ 2 รุ่นได้แก่ N450 และ D410 ขณะที่ดูอัลคอร์ 1 รุ่นคือ D510 อักษร N นั้นหมายถึงสำหรับเน็ตบุ๊ก และ D หมายถึงสำหรับเดสก์ท็อป ทั้งหมดจะถูกจับคู่กับชิปเซ็ตใหม่ NM10 Express Chipset โดยอินเทลการันตีว่าชิป Atom ใหม่ทั้ง 3 รุ่นนี้เป็นชิป x86 รุ่นแรกที่มีการรวมหน่วยประมวลผล (CPU) และหน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPU) ไว้ด้วยกันจนทำให้ไม่ต้องมีหน่วยควบคุมการอินพุต-เอาท์พุตแยกต่างหากอย่างในชิปรุ่นก่อนๆ
N450 มาพร้อมแคช L2 512KB เท่ากับ D410 แต่รุ่นหลังกินไฟมากกว่า ขณะที่ D510 มาพร้อมแคช L2 1MB กินไฟมากที่สุด ทั้งสามรุ่นมีชื่อรหัสว่า Pineview เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Pine Trail ซึ่งอินเทลวางไว้สำหรับอัปเดทชิปรุ่นใหญ่อื่นๆในอนาคต
นอกจากเดลล์และฟูจิตสึ ยังมีอัสซุส เอเซอร์ เลอโนโว โตชิบา และซัมซุง รวมถึงผู้ผลิตรายอื่นๆที่มีแผนออกคอมพิวเตอร์พร้อมชิปรุ่นใหม่ในปีหน้า ทำให้ตลาดเน็ตบุ๊กมีวี่แววจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังซบเซามาระยะหนึ่ง
ข่าวไอทีวันที่ 22 ธันวามคม 52
ทีโอทีทุ่ม200ล้านบาท เปิดไฟเบอร์ทูยูภูเก็ต
นายวรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที กล่าวว่า ทีโอทีเปิดบริการไฟเบอร์ทูยู ซึ่งเป็นบริการไฟเบอร์ ทู เดอะเอ็กซ์ สำหรับให้บริการในจังหวัดภูเก็ต โดยใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาทวางโครงข่ายไฟเบอร์ทั่วทั้งเกาะ รองรับการให้บริการ 20,000 พอร์ต แต่ช่วงแรกทดลองเปิดให้บริการ 3 อำเภอหลัก คือ อำเภอเมือง อำเภอถลาง และอำเภอป่าตอง 3,200 พอร์ต มีลูกค้ากลุ่มโรงแรมและบ้านชาวต่างชาติให้ความสนใจติดตั้งแล้วประมาณ 100 ราย
ทั้งนี้ ความเร็วให้บริการอยู่ที่ 10 - 20 เมกะบิตต่อวินาที ค่าบริการ 8,600 บาทขึ้นไป จากปกติที่มีต้นทุนไฟเบอร์ต่อพอร์ตประมาณ 20,000 บาท คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 30 - 50 ล้านบาทต่อปี การเติบโต 10 - 20% ตั้งเป้าคืนทุนได้ภายใน 3 ปี 7 เดือน และอนาคตหากนำคอนเทนท์มาให้บริการมากขึ้นก็เป็นไปได้ที่จะปรับลดราคาค่าบริการลง ในอนาคตจะเป็นส่วนเพิ่มรายได้จากบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของทีโอที
ส่วนของบริการที่มี เบื้องต้นเน้นให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและแอพพลิเคชั่นพื้นฐานอื่นๆ เป็นหลัก ได้แก่ บริการวอยซ์ โอเวอร์ ไอพี บริการไลฟ์ทีวี บริการวีดิโอ ออน ดีมานด์ ต่างก็เป็นบริการที่ชาวต่างประเทศในภูเก็ตซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายนิยมใช้
"ไฟเบอร์ สามารถขยายบริการความเร็วได้มากกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที ทีโอทีจะเน้นสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่างของคุณภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับบริการผ่านเอดีเอสแอล นักธุรกิจไอทีหรือซอฟต์แวร์ ที่มาตั้งธุรกิจที่ภูเก็ต สามารถใช้บริการได้อย่างเต็มที่ มั่นใจเรื่องเสถียรภาพได้ดีกว่าแน่นอน" นายวรุธ กล่าว
อีกทั้งทีโอที มีแผนขยายบริการไฟเบอร์ทูยู เพิ่มเติมที่นิคมอุตสาหกรรม แถบชลบุรี ระยอง รวมถึงขยายในหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ หัวหิน ลงทุนหลักร้อยล้านบาท เริ่มช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ซึ่งรูปแบบการให้บริการจะติดตั้งให้บริการเองส่วนหนึ่ง และจะเปิดให้บริษัทเอกชนมาเช่าใช้โครงข่ายเพื่อให้บริการต่อ เพราะจะสามารถให้บริการได้ดีกว่า ขณะที่เกตเวย์ออกต่างประเทศ จะขยายของทีโอทีเองด้วย และจะเช่าใช้จาก บมจ.กสท โทรคมนาคมด้วย เพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อน
ปัจจุบันภูเก็ตมีลูกค้าอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของทีโอทีประมาณ 50,000 ราย ซึ่งเป็นไปได้ที่อนาคตจะเปลี่ยนมาใช้บริการไฟเบอร์ทูยู
นายวรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที กล่าวว่า ทีโอทีเปิดบริการไฟเบอร์ทูยู ซึ่งเป็นบริการไฟเบอร์ ทู เดอะเอ็กซ์ สำหรับให้บริการในจังหวัดภูเก็ต โดยใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาทวางโครงข่ายไฟเบอร์ทั่วทั้งเกาะ รองรับการให้บริการ 20,000 พอร์ต แต่ช่วงแรกทดลองเปิดให้บริการ 3 อำเภอหลัก คือ อำเภอเมือง อำเภอถลาง และอำเภอป่าตอง 3,200 พอร์ต มีลูกค้ากลุ่มโรงแรมและบ้านชาวต่างชาติให้ความสนใจติดตั้งแล้วประมาณ 100 ราย
ทั้งนี้ ความเร็วให้บริการอยู่ที่ 10 - 20 เมกะบิตต่อวินาที ค่าบริการ 8,600 บาทขึ้นไป จากปกติที่มีต้นทุนไฟเบอร์ต่อพอร์ตประมาณ 20,000 บาท คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 30 - 50 ล้านบาทต่อปี การเติบโต 10 - 20% ตั้งเป้าคืนทุนได้ภายใน 3 ปี 7 เดือน และอนาคตหากนำคอนเทนท์มาให้บริการมากขึ้นก็เป็นไปได้ที่จะปรับลดราคาค่าบริการลง ในอนาคตจะเป็นส่วนเพิ่มรายได้จากบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของทีโอที
ส่วนของบริการที่มี เบื้องต้นเน้นให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและแอพพลิเคชั่นพื้นฐานอื่นๆ เป็นหลัก ได้แก่ บริการวอยซ์ โอเวอร์ ไอพี บริการไลฟ์ทีวี บริการวีดิโอ ออน ดีมานด์ ต่างก็เป็นบริการที่ชาวต่างประเทศในภูเก็ตซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายนิยมใช้
"ไฟเบอร์ สามารถขยายบริการความเร็วได้มากกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที ทีโอทีจะเน้นสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่างของคุณภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับบริการผ่านเอดีเอสแอล นักธุรกิจไอทีหรือซอฟต์แวร์ ที่มาตั้งธุรกิจที่ภูเก็ต สามารถใช้บริการได้อย่างเต็มที่ มั่นใจเรื่องเสถียรภาพได้ดีกว่าแน่นอน" นายวรุธ กล่าว
อีกทั้งทีโอที มีแผนขยายบริการไฟเบอร์ทูยู เพิ่มเติมที่นิคมอุตสาหกรรม แถบชลบุรี ระยอง รวมถึงขยายในหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ หัวหิน ลงทุนหลักร้อยล้านบาท เริ่มช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ซึ่งรูปแบบการให้บริการจะติดตั้งให้บริการเองส่วนหนึ่ง และจะเปิดให้บริษัทเอกชนมาเช่าใช้โครงข่ายเพื่อให้บริการต่อ เพราะจะสามารถให้บริการได้ดีกว่า ขณะที่เกตเวย์ออกต่างประเทศ จะขยายของทีโอทีเองด้วย และจะเช่าใช้จาก บมจ.กสท โทรคมนาคมด้วย เพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อน
ปัจจุบันภูเก็ตมีลูกค้าอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ของทีโอทีประมาณ 50,000 ราย ซึ่งเป็นไปได้ที่อนาคตจะเปลี่ยนมาใช้บริการไฟเบอร์ทูยู
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)